ทัวร์ส่วนตัว (ITA003) ยุโรป เช็ก- ออสเตรีย- อิตาลี 11 วัน 10 คืน

       

เที่ยวเชค - ออสเตรีย เลือกแต่เมืองสุดงาม ยอดฮิต เพชรน้ำเอกแห่งการเที่ยว ที่สุดไม่เหมือนใคร บวกถนนสายเกรตโดโลไมต์แห่งอิตาลีเหนือตอนบน ขอบอก โปรแกรมนี้ ไม่มีใครจัด และจะสุดฮิตในไม่ช้า เพราะเหมาะกับการขับรถเที่ยว ชมวิวสุดอลังการ

ทัวร์ส่วนตัวยุโรป เช็ก- ออสเตรีย- อิตาลี 11 วัน 10 คืน
       Day 1 - กรุงปราก (Prague, Czech)
       Day 2 - ปราสาทคาร์ลลาสเสติน (Karloastejn Castle) - กรุงปราก (Prague, Czech)
       Day 3 - เชสกี้ ครุมลอฟ (Cesky Krumlov)
       Day 4 - ซาลบว์รก (Salzburg, Austria)
       Day 5 - ถนนที่สูงที่สุดในออสเตรีย ไฮอัลไพน์กรอสกล็อกแนร์ (Grossglockner Alpine Road) - แคปพรุน (Kaprun, Austria)
       Day 6 - กอร์ตีนาดัมเปซโซ (Cortina d’Ampezzo, Italy)
       Day 7 - ถนนสายเกรทโดโลไมต์ (Great Dolomite Road)
       Day 8 - อินสบรูกซ์ (Innsbruck, Austria)
       Day 9 - ฮัลล์สตัทท์ (Hallstatt, Austria)
       Day 10 - เวียนนา (Vienna, Austria) - ชอปปิ้งเอาท์เล็ตแบรนด์เนม
       Day 11 - เวียนนา (Vienna, Austria) 

 

 

1 กรุงปราก (Prague, Czech)
       
        รับท่าน ณ สนามบินกรุงปราก (หากท่านต้องการบินตรง การบินไทย สามารถลงที่กรุงเวียนนา และเราไปรับที่กรุงเวียนนา มาเริ่มทริปที่ปรากได้) นำท่านชมความงดงามของ กรุงปราก เมืองแห่งปราสาทร้อยยอด เมืองหลวง และเมืองใหญ่ที่สุดในสาธารณรัฐเชค มีประชากรราวๆ 1.2 ล้านคน ใน ปี ค.ศ.1992 องค์การยูเนสโก ได้ประกาศให้ ปรากเป็นเมืองมรดกโลก
       
        ปราสาทปราก (Prague Castle) สร้างขึ้นในปี ค.ศ.885 เคยเป็นปราสาทของกษัตริย์แห่งเช็กในอดีต อีกทั้งเคยได้รับการรับรองจากกินเนสส์บุ๊ก ว่าเป็นปราสาทโบราณที่ใหญ่ที่สุดในโลก โดยมีความยาวประมาณ 570 เมตร และความกว้างประมาณ 130 เมตร แต่ปัจจุบันรัฐบาลทำเป็นทำเนียบประธานาธิบดี
       
        มหาวิหารเซนต์วิตุส (St. Vitus Cathedral) สร้างขึ้นในปี ค.ศ. 1344 ด้วยศิลปะแบบโกธิค แต่แล้วเสร็จสมบูรณ์ในปี ค.ศ.1929 เป็นที่เก็บมงกุฎเพชรซึ่งทำขึ้นในสมัยพระเจ้าชาร์ลส์ที่ 4 กษัตริย์ผู้สร้างความเจริญสูงสุดจนทำให้เมืองปราก (หากเที่ยวไม่ทัน จะสลับวันถัดไป)
       
        จากนั้นพาเที่ยว Charles Bridge นำท่านเดินลงจากปราสาทแห่งกรุงปราก ที่ท่านจะได้สัมผัสกับบรรยากาศที่สวยงามสู่ สะพานชาร์ลสะพาน (Charles Bridge)ซึ่งเป็นเสมือนเป็นอีกสัญญลักษณ์หนึ่งของกรุงปราก มีชื่อเสียงไปทั่วโลก และเป็นหนึ่งในสะพานที่งดงามมากที่สุดในยุโรป
       
        สะพานชาร์ลเป็นสะพานเก่าแก่สไตล์โกธิกที่ทอดข้ามแม่น้ำวัลตาวาที่เชื่อมระหว่าง Old Town และ Little Town สะพานสร้างในปี 1357 ในสมัยพระเจ้าชาร์ลส์ที่ 4 มาเสร็จสมบูรณ์ในช่วงต้นศตวรรษที่ 15 จุดเด่นของสะพานนี้ก็คือรูปปั้นโลหะของเหล่านักบุญสไตล์บารอกที่ตั้งอยู่สองข้างสะพานราว 30 องค์ ซึ่งหนึ่งในจำนวนนี้มีรูปปั้นของเซนต์จอห์น เนโปมุก (St. John Nepomuk Little Town) เป็นรูปปั้นที่เก่าแก่ที่สุดบนสะพาน สร้างเมื่อปี ค.ศ. 1683
       
        ตบท้ายด้วย เดินเล่นย่าน จตุรัสเมืองเก่า ที่มีบรรยากาศคึกคักตลอดเวลา เพราะเต็มไป ด้วยร้านขายของนานาชนิด รวมทั้งร้านคริสตัล ซึ่งโบฮีเมียคริสตัลนั้นเป็นที่รู้จักและให้การยอมรับกันทั่ว ยุโรปแม้แต่บรรดาพระราชวังต่างๆก็นิยมนาไปเป็นเครื่องประดับ ชมความงดงามของหอนาฬิกาดาราศาสตร์ ตั้งอยู่บริเวณจัตุรัสเมืองเก่ากลางกรุงปราก (Old Town Prague Astronomical Clock )
       
        ค้างคืนที่กรุงปราก คืนแรก 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 


       
       2 ปราสาทคาร์ลลาสเสติน (Karloastejn Castle) - กรุงปราก (Prague, Czech)
       
        นำท่านเดินทางไปชมปราสาทคาลาสเติน (Karl?tejn) ใช้เวลาเดินทางประมาณ 1 ชั่วโมง Karloastejn Castle เป็นปราสาทแบบกอธิคที่มีขนาดใหญ่ ได้ถูกก่อตั้งโดยพระเจ้าชาร์ลส์ที่ 4 จักรพรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ พระมหากษัตริย์แห่งโบฮีเมียปราสาท ในปี 1348 เพื่อให้เป็นที่เก็บเครื่องราชกกุธภัณฑ์ของจักรพรรดิ มงกุฎเพชรสาธารณรัฐพระธาตุศักดิ์สิทธิ์ และพระราชสมบัติอื่น ๆ ที่ตกทอดมาเป็นของพระองค์
        ตั้งอยู่ประมาณ 30 กิโลเมตรทางตะวันตกเฉียงใต้ของกรุงปรากเหนือ ปราสาท Karl?tejn เป็นปราสาทที่มีชื่อเสียงและมีนักท่องเที่ยวมาเยี่ยมชมบ่อยที่สุดในสาธารณรัฐเช็ก 

หรือวันนี้จะเลือกเที่ยวเมืองสปา คาร์ลโลวี วารี ที่อยู่ห่างจากกรุงปราก 1.30 ชม.?แบบไปเช้าเย็นกลับก็ได้ ท่านเลือกได้ตามความชอบ
        จากนั้นกลับมากรุบปราก อิสระให้ชอปปิ้ง ตามอัธยาศัย

ค้างคืนกรุงปราก คืนที่ 2

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 


       3 เชสกี้ ครุมลอฟ (Cesky Krumlov)

เดินทาง 3-4 ชม. ไปยังเมืองเชสกี้ ครุมลอฟ (Cesky Krumlov) เมืองเล็กมรดกโลก ถือเป็นเมืองน่ารักที่สุดเมืองหนึ่งของยุโรป ที่เป็นชื่นชอบของนักเดินทางไทยตลอดกาล ด้วยความน่าเอ็นดูของบ้านเรือนเล็กๆ แบบโบราณ สีสันฉูดฉาด มีแม่น้ำวัตตาวาโอบกอดไว้วงกลม และปราสาทตั้งตระหง่านอยู่จะจุดสูงสุดของเมือง ทำให้รู้สึกเหมือนพลัดยุคเข้าไปสู่เมืองเทพนิยายแห่งอัศวิน ตัวเมืองมีความเป็นมากว่า 300 ปี โดยราชวงศ์กุหลาบ หรือ ROZMBERKS ก่อนจะถูกเปลี่ยนมือมาอยู่มือ Eggenburg ซึ่งเป็นราชวงศ์ที่ทำเบียร์ในชื่อีเกนเบิร์กขายในปัจจุบัน และมีโรงบ่มเบียร์ตั้งอยู่ ณ เมืองนี้

พาชมปราสาทครุมลอฟ (Castle Tour) ที่งดงามด้วยศิลปะหลากหลายยุคและยังคงความสมบูรณ์แบบทั้งศิลปะเครื่องเรือน และเดินชมจตุรัสกลางเมือง และร้านค้าน่าชอปปิ้งมากมาย ชอปปิ้งอิสระ เดินชิลล์รอบเมือง และรับประทานอาหารท้องถิ่นที่ขึ้นชื่อ 

ค้างคืนเมือง Cesky Krumlove   

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 


       4 ซาลบว์รก (Salzburg, Austria)

เดินทางประมาณ 3 ชั่วโมง เพื่อไปออสเตรีย เมืองซาลบวร์ก (SALZBURG) บ้านเกิดของโมสาร์ทที่ตั้งอยู่กลางเทือกเขาแอล์ปและยังเป็นเมืองที่เต็มไปด้วยสถาปัตยกรรมและศิลปกรรมสไตล์บาโรค ซึ่งแน่นอนว่าเมืองนี้ย่อมเป็นแหล่งการดนตรีที่สำคัญแห่งหนึ่งของยุโรปและของโลก 

มีที่เที่ยวขึ้นชื่อของซาลสบูร์ก เช่น พิพิธภัณฑ์บ้านเกิดโมซาร์ท (Mozart’s ‘Geburtshaus) พิพิธภัณฑ์โมซาร์ท (Mozart Wohnhaus-Mozart Residence) แหล่งการค้าเก่าแก่ถนนเกทรัยเดอกาสเซอ (Getreidegasse) สวนสวยประจำเมืองสวนมิราเบล (Mirabell Garden) แหล่งร้านค้าร้านอาหารจัตุรัสอัลเตอร์ มาร์กต์ (Alter Markt Square) และโบสถ์ที่เก่าที่สุดของเมืองในสำนักสงฆ์เซนต์ปีเตอร์ (St. Peter Abbey)

เมืองซาลซ์บูร์กนั้นถ้าจะให้แปลตามตัวก็ต้องบอกว่าหมายถึงปราสาทแห่งเหมืองเกลือ อันเนื่องมาจาก ณ ที่แห่งนี้อุดมไปด้วยเหมืองเกลือซึ่งเมื่อสมัยยุคกลางนั้น เกลือมีค่ามากเสียกว่าทองคำด้วยซ้ำไป จึงทำให้ประชาชนที่อาศัยอยู่ที่นี่มีความกินดีอยู่ดี เข้าขั้นคนมั่งมีของประเทศกันเลย อาร์ชบิชอปผู้ครองนครจึงมีอำนาจบารมีเป็นอย่างมาก ใครๆก็ต้องพากันมาคารวะเพราะต้องการสมบัติที่ท่านครอบครองอยู่อย่างเกลือนี่เอง

พาเที่ยว สวนมิราเบลล์ (Mirabell Garden) สวนสวยอันเลื่องชื่อที่เป็นหนึ่งในฉากของภาพยนตร์สุดคลาสสิกอย่าง The Sound Of Music ณ เมืองซาลซ์บูร์ก (Salzburg) ประเทศออสเตรีย นับได้ว่าเป็นสวนสาธารณะที่สวยงามที่สุดของเมือง สวนมิราเบลล์ เป็นส่วนหนึ่งของพระราชวังมิราเบลล์ สถาปัตยกรรมบาโรคสุดคลาสสิก ตั้งแต่สมัยยุคปี’60

ป้อมโฮเฮนซาลซ์บูร์ก (Festung Hohensalzburg) เป็นสัญลักษณ์อย่างหนึ่งของอำนาจทางโลกของอาร์ชบิชอปเกบฮาร์ด ( Erzbischof Gebhard) สร้างขึ้นเมื่อปี ค.ศ. 1077 เพื่อเป็นที่พำนักหลวงและป้องกันข้าศึก แต่มาสร้างเสร็จในปีค.ศ. 1681 ปัจจุบันได้รับการยกย่องว่าเป็นป้อมปราการซึ่งหลงเหลือความสมบูรณ์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก ภายในมีตำหนักใหญ่ คุกใต้ดิน ห้องทรมานนักโทษ สิ่งที่น่าสนใจเป็นพิเศษคือเตาผิงที่ปูด้วยกระเบื้องที่มีความทนทานมาตั้งแต่ปี 1501 ที่ตั้งอยู่ในห้องทอง ( Golden room ) และในห้องยังมีภาพเขียนจากคัมภีร์ไบเบิลอีกด้วย

ถนนเกไทรเดร้ (Getreidegasse) เป็นถนนสายเล็กที่มีความงดงามมาก เพราะบ้านเรือนสองฝั่งถนนจะเป็นอาคารโบราณสไตล์เรเนซองส์ตอนปลายและบารอคตอนต้น จึงทำให้สถาปัตยกรรมที่เราเห็นนั้นมีความอลังการด้วยรายละเอียดมากมาย แต่ที่น่ารักเป็นที่สุดก็คือ ป้ายของร้านค้าที่ถนนสายนี้จะได้รับการบรรจงสร้างจากเหล็กดัดเป็นรูปทรงที่ไม่ซ้ำแบบกันเลย ร้านใครร้านมันออกแบบให้เข้ากับร้านของตัวเอง ถนนสายนี้คือสวรรค์ของนักช้อป เพราะเป็นที่ตั้งของร้านแบรนด์เนมจากทุกมุมโลกที่ท่านต้องการ ที่ปลายถนนด้านหนึ่งก่อนที่จะไปถึงแม่น้ำ
        สมควรแก่เวลานำท่านเชคอินที่โรงแรม ณ ซาลบวร์ก   

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 


       5 ถนนที่สูงที่สุดในออสเตรีย ไฮอัลไพน์กรอสกล็อกแนร์ (Grossglockner Alpine Road) - แคปพรุน (Kaprun, Austria)

ออกเดินทางจาก Salzburg ไปสู่เมือง Grossglockner Alpine -Kaprun ใข้เวลาเดินทางประมาณ 2 ชั่วโมงครึ่ง ไปยัง Grossglockner Alpine เมืองชนบทเล็กๆ ท่ามกลางหุบเขาสูง เส้นทางไฮอัลไพน์กรอสกล็อกแนร์ Grossglockner เป็นชื่อยอดเขาที่สูงสุดของ Austria สูง 3798 m ส่วนถนน Grossglockner Alpine Road เปิดตั้งแต่ปี 1935 ระยะทางประมาณ 49 Km สมัยก่อนเคยเอาไว้เป็นสนามแข่งรถด้วย จุดที่ถนนสูงที่สุดคือ 2571 m จากระดับน้ำทะเล 

จุดที่เด่นๆของ Grossglockner ที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างมากจากนักท่องเที่ยวคือ Edelweissspitze คือ จุดนี้คือจุดสูงสุด 2571 m ท่านจะมองเห็นทัศนียภาพที่งดงามของธรรมชาติได้ 360 องศา Kaiser-Franz-Josefs_Hohe 2369 m จุดชมธารน้ำแข็งและชมวิวยอด Grossglockner 

พาขับรถขึ้นเขาบนถนนเส้นนี้ ซึ่งถือว่าเป็นถนนที่สูงที่สุดในประเทศออสเตรีย หากท่านเที่ยวในช่วงถนนปิด จะพาไปเที่ยวเมือง Zell am See แทน 

เดินทางต่อไปยัง Kaprun ชุมชนในเขตการปกครอง Zell am See ในรัฐ Salzburg ทางตอนกลางของประเทศ ชุมชนซึ่งเป็นที่รู้จักในหมู่นักท่องเที่ยวว่า “Zell am See-Kaprun” 

ตั้งอยู่บนที่ลาดเชิงเขาทางตอนเหนือของกลุ่มเทือกเขา Alpine Glockner ซึ่งมียอดเขา Gro?es Wiesbachhorn เป็นจุดสูงสุดในระดับความสูง 3,564 เมตร โดยชุมชนดังกล่าวมีชื่อเสียงจากธารน้ำแข็ง Kitzsteinhorn ที่นักท่องเที่ยวนิยมใช้รถไฟสาย Gletscherbahn ขึ้นไปเล่นสกี ช่วงปลายปี 2010 Tauern Spa World รีสอร์ทสปาที่มีขนาดใหญ่ที่สุดลำดับ 2 ของออสเตรียได้เปิดให้บริการในชุมชนแห่งนี้ ซึ่งนับเป็นสิ่งดึงดูดนักท่องเที่ยวได้เป็นอย่างดี 

สมควรแก่เวลานำท่านเชคอินที่โรงแรม ณ เมือง Kaprun 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 


       6 กอร์ตีนาดัมเปซโซ (Cortina d’Ampezzo, Italy)

เดินทางจาก Grossglockner Alpine - Kaprun ประเทศออสเตรีย สู่ประเทศ อิตาลี ใช้เวลาเดินทางประมาณ 3-4 ชั่วโมง

จุดแรก พาชม Misurina Lake ทะเลสาปที่มีชื่อเสียงและใหญ่ที่สุดใน Cadore อยู่สูงกว่าระดับน้ำทะเลถึง1,754 เมตรและกว้าง 2.6 กิโลเมตร. มีโรงแรมกว่า 10 อยู่รอบทะเลสาป สัมผัสอากาศบริสุทธิ์โดยรอบทะเลสาปทำให้เหมาะสำหรับคนที่เป็นโรคทางเดินหายใจ จึงมีศูนย์ดูแลเด็กที่เป็นโรคหอบอยู่ใกล้ๆ ทะเลสาป

นอกจากนี้ในปีคศ.1956 ทะลสาปแห่งนี้ยังเคยใช้เป็นที่แข่งขัน Speed skating Winter Olympics of Cortina d' Ampezzo ที่ทะสาป Misurina ท่านจะมองเห็นเเงาสะท้อนน้ำของภูเขาและโรงแรมรอบทะเลสาป กับเมฆหมอกที่ลอยเหนือภูเขา เป็นภาพที่งดงามราวกับภาพวาด ที่นี่มีตำนานว่า ทุก 100 ปี จะมีเจ้าหญิงขึ้นมาจากทะเลสาปในคืนพระจันทร์เต็มดวง

จากนั้นเดินทางไปเมือง CORTINA D’AMPEZZO เมืองเล็กๆที่ตั้งอยู่ในหุบเขาแอล์ปทางตอนเหนือของอิตาลี มีเสน่ห์น่าหลงใหลให้ต้องดั้นด้นไปเยี่ยมเยือนให้ได้ซักครั้ง ความสวยงามไม่ได้อยู่ที่สถาปัตยกรรมที่เลิศหรูอลังการ แต่กลับเป็นเพียงความเรียบง่ายของบ้านเรือนที่เป็นแบบอิตาลีผสมเยอรมัน บ้านสามชั้นที่ปลูกสร้างด้วยปูนและไม้ กับระเบียงไม้แสนสวยที่ประดับด้วยกระถางต้นไม้สีสดใส ถือเป็นสิ่งดึงดูดให้ผู้คนจากทั่วโลกต่างพากันมาเยือนดินแดนแห่งนี้ไม่ขาดสาย 

ทำเลที่ตั้งของเมืองที่ถูกอ้อมกอดของเทือกเขาแอล์ปโอบรัดเสมือนว่าจะไม่ให้สิ่งแปลกปลอมสามารถเยื้องกรายเข้ามาแปดเปื้อนเมืองในฝันที่น่าหวงแหนแห่งนี้ เชื่อว่าเมืองเล็กๆที่ซ่อนตัวอยู่ท่ามกลางขุนเขาแห่งนี้ จะเป็นดั่งสวรรค์ของนักท่องเที่ยวที่รักในธรรมชาติ การผจญภัย

ในช่วงฤดูหนาวเมืองนี้จะกลายเป็นลานสกีที่น่าตื่นตาตื่นใจ เมืองเล็กๆทั้งเมืองต่างถูกปกคลุมด้วยหิมะขาวโพลน ถนนสายเล็กถูกเก็บกวาดเกิดเป็นกองหิมะข้างทางให้เด็กน้อยมีสถานที่เล่นสนุกกับการนั่งไถลถาดพลาสติกใบเขื่องลงมาสู่เบื้องล่าง และเมื่อความมืดเข้าครอบครอง ความเยือกเย็นแบบจับขั้วหัวใจ แต่มิต้องกังวลจนเกินไป เพราะ Cortina ยังมีร้านเหล้าเล็กๆ บาร์สนุกๆไว้รอต้อนรับนักท่องเที่ยวขี้เหงาให้ได้พบปะกับชีวิตอีกด้านที่ไม่คุ้นเคย 

Cortina กอร์ตีนาดัมเปซโซตั้งอยู่ทางตอนกลางของหุบเขาอัมเปซโซ ในทิวเขา Dolomites และอยู่ระหว่าง Cadore (ทางทิศใต้) กับ Val Pusteria (ทางทิศเหนือ), Val d' Ansiei (ทางทิศตะวันออก) และ Agordo (ทางทิศตะวันตก) มีทิวเขา Dolomites โอบล้อมตลอด 360 ศูนย์กลางของเมืองตั้งอยู่ที่ความสูง 1,224 เมตรจากระดับน้ำทะเล ในบริเวณมีแหล่งน้ำที่สำคัญในรูปของธารน้ำเชี่ยว ลำธาร และทะเลสาบขนาดเล็ก (Ghedina, Pianozes, d'Ajal...) ซึ่งจะมีปริมาณน้ำอยู่เต็มในช่วงฤดูร้อนซึ่งหิมะละลาย 

พาท่านเดินเที่ยวชมเเมืองที่มีเสน่ห์น่าหลงใหลอย่าง Cortina ชมความเรียบง่ายของบ้านเรือนที่เป็นแบบอิตาลีผสมเยอรมัน บ้านสามชั้นที่ปลูกสร้างด้วยปูนและไม้ กับระเบียงไม้แสนสวยที่ประดับด้วยกระถางต้นไม้สีสดใส ถือเป็นสิ่งดึงดูดให้ผู้คนจากทั่วโลกต่างพากันมาเยือนดินแดนแห่งนี้

ค้างคืนที่ Cortina d’Ampezzo 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 


       
       7 ถนนสายเกรทโดโลไมต์ (Great Dolomite Road) 

เดินทางไปขึ้นกระเช้าไฟฟ้า Tofana di messo cable car ขึ้นสู่ยอดเขาที่เกือบสูงที่สุดของโดโลมิติด้วยความสูง 3244 เมตรชม ชมวิวจากยอดเขาสูงเทียมเมฆราวกับอยู่บนสวรรค์ หากมองลงมาด้านล่างท่านจะเห็นเมือง Cortina ท่ามกลางหุบเขา บ้านเรือนโบสถ์เห็นเป็นเพียงจุดเล็กๆ

จากนั้นพาเที่ยว ไปบนเส้นทางอันมีชื่อเสียงและสวยงามที่สุดของ Dolomite ที่มีชื่อว่า “Great Dolomite Road” เส้นทางยอดนิยมของผู้ที่ต้องการจะขับรถชมความงามในเขตโดโลไมท์ ถนนโดยส่วนใหญ่จะมีขนาดไม่ใหญ่ คดเคี้ยวบางช่วง วิวอลังการ

จุดแรกผ่านเมือง Passo Falzarego (ที่เมืองนี้ สามารถเดิน Hiking สั้นๆไปยังทะเลสาบ Limides ได้) และจุดที่สอง Passo Pordoi จะมีจุดชมวิวสูงสุดที่นี่ ถ้ามีเวลาเหลือพาขึ้นกระเช้าที่ Sass Pordoi ซึ่งบนเส้นทาง Passo Pordoi จะมีกระเช้าขึ้นหลายที่ แต่ที่ Sasso Pordoi นี่จะเป็นยอดสูงสุด(2,950m) วิวข้างบนจึงสวยงามมองเห็นไปไกลยิ่งใหญ่อลังการมากๆ ข้างบนมีทางเดินเล่นชมวิวไปรอบๆ กระเช้าเปิดให้บริการเริ่ม พค - ตค จุดนี้สามารถ Hiking ได้

โปรแกรมวันนี้ต้องเลือกตามชอบในเวลาเท่าที่มีค่ะ ไม่ใช่ว่าสามารถเที่ยวได้ครบทุกที่ดังกล่าวในวันเดียวนะคะ ต้องเลือกตามความต้องการ
        ค้างคืนแถบ Passo Pordoi 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 


       8 อินสบรูกซ์ (Innsbruck, Austria)

ออกเดินทาง 3-4 ชม. ไปเที่ยวเมืองอินสบรูกซ์ สวรรค์ของนักสกี รอบๆ เมืองถูกโอบกอดด้วยเทือกเขาแอลป์ 360 องศา มีแม่น้ำอินส์ Inn ผ่านรอบๆ เมือง ทำให้มีบรรยากาศอลังการ เพราะภูเขาใหญ่มาก จนบ้านเมืองเล็กไปเลย และมีน้ำใสสดชื่นไหลผ่าน ผังเมืองเรียบร้อย สะอาดน่าอยู่ หลายๆ คนชอบเมืองนี้มาก แต่ทัวร์ไทยไม่ค่อยแวะ เพราะออกนอกเส้นทางยอดฮิต และในเส้นทางนี้ ถือว่าไม่เสียเวลา เพราะอยู่ทางผ่านพอดีค่ะ

พาชมวิวพาโนราม่า ของเมือง ณ เคเบิ้ล NORDKETTENBAHNEN หากต้องการ 

จากนั้นชมเมืองเก่า ถนนส มาเรีย เทเรสเซียน ซตราสเซอ ( Maria-Theresien- Strasse ) และถนน แฮร์ซอก ฟริดริช ซตราสเซอ (Herzog-Friedrich-Strasse ) ชมอาคารสไตล์บารอคที่แสนงดงาม และจุดเด่นของเมืองนี้คือ บ้านหลังคาทองคำที่มีชื่อเสียง คารเก่าแก่ในอดีตเคยเป็นที่ประทับของกษัตริย์ทิโรล เวลาเสด็จเพื่อมาประทับชมการแสดงของชาวเมือง หลังคาเป็นสีทองเหลืองเพราะทำจากแผ่นทองแดงที่ชุบทองให้สมพระเกียรตินั่นเอง

อิสระให้ชอปปิ้งตามอัธยาศัย หรือชมพิพิธภัณฑ์ เช่น FERDINANDEUM TYROLEAN STATE MUSEUM / Stadtmuseum / ARSENAL MUSEUM / หรือปราสาท Ambras Castle 

หากต้องการพาชม คริสตอลสวารอฟสกี้ Swarovski Crystal Worlds, ที่เมือง Wattens ที่อยู่ห่างออกไป 20 กม. สามารถจัดให้ได้ เพราะคริสตอลชื่อดังของโลก กำเนิดที่เมืองนี้

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

หรือต้องการชมเมืองที่อยู่ไม่ห่างกัน บรรยากาศแปลกตาออกไป อย่าง Hall in Tirol ก็พาไปได้ตามต้องการของแต่ละคณะ หากมีเวลาเหลือพอ นั่งรถต่อไปที่ Zillertal Alps อีกประมาณ 2 ชั่วโมงเศษ เพื่อไปสัมผัสประสบการณ์เดินบนสะพานแขวน Olpererhutte (Hanging Bridge) ที่จะสร้างความตื่นเต้นท่านกลางวิวที่สวยงามเกินบรรยาย

  

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 


       9 ฮัลล์สตัทท์ (Hallstatt, Austria)

ได้ชื่อว่าเมืองริมทะเลสาบที่สวยที่สุดในโลก และยังเป็นหนึ่งในเมืองท่องเที่ยว ที่ได้รับความนิยมมากเป็นอันดับต้นๆ ของประเทศ ออสเตรีย (Austria) โดยเมืองฮัลล์สตัทท์ เป็นเมืองท่องเที่ยวเล็กๆ ที่ตั้งอยู่ทางฝั่งตะวันตกเฉียงใต้ของทะเลสาบฮัลล์สตัทท์ (Lake Hallstatt) หรือฮัลล์สตัทท์เทอร์ ซี (Hallstatter See) ทะเลสาบในเขตภูมิภาคซาลซ์คัมเมอร์กุท (Salzkammergut) ภูมิภาคทางประวัติศาสตร์ที่สำคัญมากแห่งหนึ่งของประเทศออสเตรีย

สำหรับความโดดเด่นของเมืองนั้น สิ่งแรกที่นักท่องเที่ยวจะสัมผัสได้ก็คือความเป็นเมืองชนบทเล็กๆ ที่มีอากาศแสนบริสุทธิ์ เหมาะอย่างยิ่งที่จะเดินทางมาพักผ่อนตากอากาศ และชมทัศนียภาพสวยๆ ของตัวเมืองที่ถูกโอบล้อมไปด้วยทะเลสาบและเทือกเขาสูงตระหง่าน ปัจจุบันเมืองฮัลล์สตัทท์ และเขตภูมิภาคซาลซ์คัมเมอร์กุทได้รับการขึ้นทะเบียนให้เป็นมรดกโลกในปี 1997 

พาเที่ยวเดินเล่นเมือง Hallstatt ชมโบสถ์ และถ่ายรูป ณ จุดยอดฮิต 

หากต้องการ พาเข้าชมเหมืองเกลือโบราณ (Salzwelten) ที่มีอายุมากกว่า 7,000 ปี โดยการขึ้นกระเช้าไฟฟ้า ที่ชันมาก และแล่นเร็วมาก เพื่อไปยังเหมืองเกลือที่ตั้งอยู่บนภูเขาที่มีความสูงกว่าระดับน้ำทะเล ประมาณ 838 เมตร 

หรือเลือกขึ้นกระเช้าไฟฟ้าขึ้นไปยังจุดชมวิวชมธรรมชาติจากมุมสูง (5 fingers) ด้านบนวิวสวยงามอลังการมาก และทัวร์ทั่วไปไม่ค่อยพาไป สมควรแก่เวลานำท่านเชคอินที่โรงแรม ณ Gosau / หรือ Hallstatt 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 


       
       10 เวียนนา (Vienna, Austria) - ชอปปิ้งเอาท์เล็ตแบรนด์เนม

เดินทางจาก 1 ชั่วโมงจาก Hallstatt ถึง St. Wolfgang พาเที่ยวเมือง St. Wolfgangsee เมืองซังคท์ โวล์ฟกัง เป็นเมืองมาร์เก็ต ทาวน์ (market town) เมืองรีสอร์ทเพื่อสุขภาพที่มีความสำคัญทางด้าน ประวัติศาสตร์และวัฒนธรรม  

ทะเลสาบ St. Wolfgang เป็นทะเลสาบที่ใหญ่ อยู่ในอันดับต้นๆ ของประเทศออสเตรีย มีชื่อเสียง เป็นแหล่งท่องเที่ยวมีชื่อเสียง เป็นที่นิยม จึงอยากให้คุณไปเยือน ชื่นชมสักครั้ง ชื่อทะเลสาบ และชื่อเมืองซังท์ โวล์ฟกัง มีที่มาจากชื่อของนักบุญโวลฟ์กัง หรือ เซนต์โวลฟ์กัง (heiligen Wolfgang) ซึ่งมีชีวิตอยู่ในช่วงปลายศตวรรษที่ 10 และได้สร้างโบสถ์เล็กๆ ขึ้นมา

ปัจจุบันโบสถ์นี้ ได้เป็นกลายโบสถ์ประจำของเมืองซังท์ โวล์ฟกังทะเลสาบแห่งนี้ตั้งอยู่ใน รัฐอัปเปอร์ออสเตรีย (Upper Austria/Oberosterreich) 1 ใน 9 รัฐ ของประเทศออสเตรีย ตั้งอยู่ตรงการระหว่าง เมืองซังท์ โวล์ฟกัง และฟากหนึ่งจะเป็น ซังท์ กิลเกน 

จากนั้น พาเที่ยวเมือง St. Gilgen ซังท์ กิลเกน เป็นบ้านเกิดมารดาของโมสาร์ท และได้รับการยกยกฐานะให้เป็นหมู่บ้านโมสาร์ท Mozart Village ในปี ปี 2005

เดินทางจาก St. Gilgen จากถึงเวียนนาใช้เวลาเดินทาง ใช้เวลาประมาณ 4-5 ชม. พาท่านชอปปิ้งเอ้าท์เล็ตชานกรุงเวียนนา Designer Outlet Prandorf มีสินค้าแบรนด์เนมลดราคาให้เลือก เช่น Prada, Gucci, Amarni เป็นต้น รับประทานอาหารเย็น ณ เอ้าท์เล็ต 

ค้างคืนที่กรุงเวียนนา 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 


       
       11 เวียนนา (Vienna, Austria)

เที่ยวกรุงเวียนนา ประเทศออสเตรีย นครหลวงแห่งออสเตรีย เมืองแห่งเสียงดนตรี ในแง่สมัยใหม่ ได้ชื่อว่าเป็นเมืองที่น่าอยู่ที่สุดในโลกจากการโหวต เพราะวางผังอย่างดี มีสวนสาธารณะ ศิลปะ ความบันเทิง ครบ เวียนนาเป็นเมืองศิลปะแบบคลาสสิค บ้านเรือนสะอาด น่าอยู่น่าชม ที่ซึ่งศิลปะผสมผสานอย่างลงตัวกับความทันสมัย   

ท่านจะได้ชมพระราชวังเชินน์บรุนน์ จำนวน 20 ห้อง และเดินเล่นสวนของวังที่ออกแบบอย่างลงตัว  รับประทานอาหารเที่ยง ลาดนัดเก่าแก่ของเมือง Naschmarkt มีอาหารนานาชาติมากมายให้ลิ้มลอง ของพื้นเมือง และผักผลไม้  

จากนั้นเดินทางสู่ใจกลางเวียนนา หน้าพระลาน พระราชวังฮับบวร์ก ที่ตั้งของมหาวิหารนักบุญสเตฟาน ถนนชอปปิ้งคาร์ทเนอร์ ที่ตั้งของร้านค้ามากมาย เสื้อผ้า ของที่ระลึกทันสมัย และถนนสายแบรนด์เนม  ปิดท้ายความสวยงามด้วยสถานที่ไม่ควรพลาดอย่างศาลาว่าการกรุงเวียนนาในแบบกอธิค โรงละคร และรัฐสภา  

รับประทานอาหารเย็น และส่งท่านที่สนามบินกรุงเวียนนา และส่งท่านที่สนามบินกรุงเวียนนาตามเวลากำหนด


       หมายเหตุ หากต้องการเที่ยว Budapest, Hungary ต่อ สามารถเพิ่มโปรแกรมจาก 11 วัน เป็น 13 วันได้

 

ราคา
       ค่ารถตู้พร้อมคนขับ ราคาเริ่มต้นวันละ 35,000 บาท

ราคารวม
       1. ค่ารถตู้พร้อมคนขับ (ราคารวมค่าน้ำมัน ทางด่วน โรงแรมและอาหารของคนขับแล้ว)
       2. ค่าประกันการเดินทางแบบกลุ่ม ตามกฏหมายกำหนด คุ้มครองตามเงื่อนไขกรมธรรม์


       ราคาไม่รวม
       1.โรงแรมของท่าน
       2.ที่จอดรถ จ่ายเป็นรายครั้งไป ตามโปรแกรมท่านเลือกเที่ยวจริง
       3.กรณีรถโค้ช ราคาไม่รวม City permit จ่ายเป็นรายครั้งไป ตามโปรแกรมท่านเที่ยวจริง, หากมีเอารถลงเรือ Ferry จ่ายเองหน้างานตามจริง
       4.ทิปคนขับ ตามพอใจ แนะนำ วันละ 40 ยูโร/คณะ
       5.อื่น ๆ ที่ไม่เขียนว่ารวม เช่น อาหารเที่ยงและเย็น ค่ายกกระเป๋า ณ โรงแรมที่พัก ค่าวีซ่าและค่าตั๋วเครื่องบินระหว่างประเทศ ตั๋วท่องเที่ยว จ่ายหน้างานเองตามจริง ภาษีมูลค่าเพิ่ม 7% และหัก ณ ที่จ่าย 3%
       6.หากต้องการหัวหน้าทัวร์ จ่ายเพิ่มวันละ 17,500 บาท ราคารวมโรงแรมและอาหารหัวหน้าทัวร์แล้ว


       การจ่ายเงิน
       • งวด 1 มัดจำ คณะละ 5,350 บาท สามารถจองผ่านบัตรเครดิต ผ่านหน้าระบบเวบไซต์ได้เลย จากนั้นเราจะออกใบจองทัวร์คอนเฟิร์มให้ท่าน (หากทริปไม่คอนเฟิร์ม จะคืนเงินให้ 100% ภายใน 7 วัน)
       • งวดที่ 2 ท่านละ 5,000 บาท ภายใน 7 วัน หลังจากได้รับการคอนเฟิร์มแล้ว
       • งวดที่ 3 ท่านละ 25,000 หลังจากวีซ่าผ่านแล้ว หรือ/และก่อนเดินทาง ไม่น้อยกว่า 30 วัน
       • งวดที่ 4 ท่านละ ที่เหลือ วันที่ 2 ของทริป หลังจากเราไปรับท่านแล้ว (เพื่อความมั่นใจ)