ทัวร์นอร์เวย์ส่วนตัว (NOR006) Grand Norway Tour - 14 วัน 13 คืน ล่าแสงเหนือแบบจุใจ!

ทัวร์นอร์เวย์ส่วนตัว (NOR006) Grand Norway Tour - 14 วัน 13 คืน ล่าแสงเหนือแบบจุใจ!



Grand Norway Tour 14 วัน - ท่องแดนไวกิ้ง สัมผัสฟยอร์ดสุดอลังการ

ค้นพบมนต์เสน่ห์แห่งนอร์เวย์ ดินแดนแห่งธรรมชาติสุดขอบโลก ที่คุณจะได้สัมผัสฟยอร์ดอันยิ่งใหญ่ หมู่บ้านชาวประมงแสนงดงาม และเส้นทางสุดมหัศจรรย์ที่จะตราตรึงในความทรงจำไปตลอดชีวิต

ทัวร์ส่วนตัวนอร์เวย์ (Grand Norway Tour - 14 วัน)
Day 1 : Tromso แสงเหนือในฝัน
Day 2 : Tromso - Reine หมู่บ้านที่สวยที่สุดในนอร์เวย์
Day 3 : Reine สัมผัสวิถีชีวิตชาวประมงและชมวิวทะเลสุดอลังการ
Day 4 : Reine - Trondheim ชมวิวฟยอร์ดตลอดทางเต็มๆ
Day 5 : Trondheim เมืองหลวงเก่าของนอร์เวย์
Day 6 : The Atlantic Ocean Road สะพานสวยงามที่สุดในบรรดาสะพานทั้งหมดในนอร์เวย์
Day 7 : Norwegian National Road 63 - Geirangerfjord ฟยอร์ดที่ขึ้นชื่อของนอร์เวย์
Day 8 : Alesund เมืองเล็กแสนน่ารักและจุดชมวิวสวยงาม
Day 9 : Bergen เมืองใหญ่อันดับสองของนอร์เวย์ เมืองหลวงของออสโล
Day 10 : Bergen เรียนรู้วัฒนธรรมท้องถิ่นที่ Bryggen และลิ้มรสอาหารทะเลสดๆ
Day 11 : Flam ความงดงามตามธรรมชาติของซองน์ฟยอร์ด นั่งรถไฟ Flamsbana
Day 12 : Oslo เมืองหลวงของนอร์เวย์ เที่ยวชมพิพิธภัณฑ์และพระราชวัง
Day 13 : Oslo ช้อปปิ้ง เดินเล่นริมอ่าวออสโล ก่อนเดินทางกลับ
Day 14 : Oslo - สนามบิน Oslo Airport (Gardermoen)

Day 1 ทรอมโซ (Tromsø)

 

รอรับท่านที่สนามบินทรอมโซ (Tromsø Airport, Langnes) เพื่อนำท่านออกเดินทางเข้าสู่ที่พักในเมืองทรอมโซ เที่ยวชมเมืองทรอมโซ 

เริ่มต้นด้วยนำท่านเยี่ยมชม The Arctic Cathedral หรือชื่อทางการคือ Tromsdalen Church เป็นหนึ่งในสัญลักษณ์สำคัญของเมืองทรอมโซ ตั้งอยู่บริเวณเขต Tromsdalen ทางตะวันออกของเมือง สร้างขึ้นในปี 1965 โดยสถาปนิก Jan Inge Hovig โบสถ์แห่งนี้มีชื่อเสียงในด้านสถาปัตยกรรมอันโดดเด่น ซึ่งได้รับแรงบันดาลใจจากภูมิประเทศของนอร์เวย์ โดยเฉพาะภูเขาน้ำแข็งที่ตั้งตระหง่านในเขตอาร์กติก ซึ่ง The Arctic Cathedral ไม่ใช่แค่โบสถ์ธรรมดา แต่เป็นงานศิลปะทางสถาปัตยกรรมที่สะท้อนถึงความเป็นเอกลักษณ์ของทรอมโซและดินแดนอาร์กติก

ต่อด้วยนำท่านเดินทางมายัง Fjellheisen Cable Car เป็นกระเช้าลอยฟ้าที่จะพาท่านขึ้นสู่ยอดเขา Storsteinen ที่ความสูง 421 เมตร เพื่อชมวิวพาโนรามาของเมืองทรอมโซและภูมิประเทศโดยรอบ

วึ่งท่านสามารถล่าแสงเหนือได้ในช่วงค่ำคืนอีกดวย หากท่านเดินทางในช่วงฤดูหนาว (เดือนพฤศจิกายน - มีนาคม) สามารถเข้าร่วมกิจกรรมล่าแสงเหนือ ซึ่งทรอมโซถือเป็นหนึ่งในสถานที่ที่เหมาะสมที่สุดในการชมปรากฏการณ์ธรรมชาตินี้

หมายเหตุ: แสงเหนือ (Aurora Borealis) เป็นปรากฏการณ์ธรรมชาติที่เกิดขึ้นได้ยาก ซึ่งต้องอาศัยปัจจัยหลายประการ เช่น ช่วงเวลาเดินทาง สภาพอากาศ ค่า KP และสถานที่รับชม

Overnightพักค้างคืนในเมืองทรอมโซ ตัวอย่างโรงแรม 4 ดาว: Radisson Blu Hotel, Tromsø

 

Day 2 ทรอมโซ (Tromsø) - เรย์เน (Reine)

 

เช้าวันนี้ ออกเดินทางออกจากเมือง ทรอมโซ (Tromsø) มุ่งหน้าสู่หมู่เกาะโลโฟเทน (Lofoten) ซึ่งเป็นหนึ่งในภูมิภาคที่มีทัศนียภาพงดงามที่สุดของนอร์เวย์ ตลอดเส้นทางเต็มไปด้วยธรรมชาติที่ยิ่งใหญ่ ทั้งภูเขาสูง ทะเลสาบ และฟยอร์ดที่สวยงาม ขณะที่รถเคลื่อนตัวผ่านทิวทัศน์แบบอาร์กติก ท่านจะได้สัมผัสกับทัศนียภาพที่เปลี่ยนไปตลอดทางจากภูเขาหิมะไปจนถึงชายฝั่งที่ล้อมรอบด้วยน้ำทะเลสีคราม ระยะทางจากทรอมโซไปยังเรย์เนประมาณ 540 กิโลเมตร

ระหว่างทางสามารถแวะจุดชมวิวที่สวยงามมากมาย หนึ่งในนั้นคือ Tjeldsund Bridge สะพานที่ทอดยาวข้ามฟยอร์ดอันเงียบสงบ หรือจะเป็น Austnesfjorden Viewpoint จุดชมวิวฟยอร์ดที่ให้มุมมองกว้างไกลเหนือภูมิประเทศของโลโฟเทน ซึ่งเหมาะสำหรับการถ่ายภาพธรรมชาติที่สวยงาม

เข้าสู่หมู่เกาะโลโฟเทน พื้นที่นี้เต็มไปด้วยหมู่บ้านชาวประมงที่ยังคงรักษาวัฒนธรรมดั้งเดิมไว้ได้เป็นอย่างดี โดยเฉพาะหมู่บ้าน เรย์เน (Reine) ที่ได้รับขนานนามว่าเป็น “หมู่บ้านที่สวยที่สุดในนอร์เวย์” ด้วยทัศนียภาพของบ้านชาวประมงสีแดง (Rorbuer) ที่เรียงรายอยู่ริมชายฝั่ง ตัดกับฉากหลังของภูเขาสูงชันและทะเลสีฟ้าคราม เป็นภาพที่สวยงามราวกับภาพวาด เมื่อเดินเล่นภายในหมู่บ้าน ท่านจะได้สัมผัสกับวิถีชีวิตของชาวประมงที่ยังคงใช้อวนจับปลาตามแบบดั้งเดิม พร้อมกลิ่นอายของปลาแห้งที่ตากเรียงรายอยู่บนไม้โครงสูงรอบ ๆ หมู่บ้าน

หากต้องการชมหมู่บ้านจากมุมสูง Reinebringen Viewpoint เป็นจุดชมวิวที่ต้องเดินขึ้นไปบนยอดเขา ใช้เวลาปีนเขาประมาณ 1.5 - 2 ชั่วโมง และเมื่อไปถึงยอด ท่านจะได้เห็นวิวพาโนรามาของหมู่บ้านเรย์เนและแนวฟยอร์ดที่คดเคี้ยวเป็นฉากหลัง อันเป็นหนึ่งในจุดชมวิวที่สวยที่สุดในนอร์เวย์

อีกหนึ่งจุดที่ควรแวะเยี่ยมชมคือ หมู่บ้าน Å (Å Village) หมู่บ้านปลายสุดของถนน E10 ซึ่งเป็นหมู่บ้านชาวประมงเล็ก ๆ ที่มีบ้านเรือนไม้สีแดงแบบดั้งเดิม พร้อมพิพิธภัณฑ์การทำประมงที่แสดงเรื่องราวของอุตสาหกรรมประมงของนอร์เวย์

ยามค่ำคืน รับประทานอาหารเย็นในร้านอาหารท้องถิ่น พร้อมลิ้มลองอาหารทะเลสด ๆ จากทะเลนอร์เวย์ เช่น ปลาแอตแลนติกค็อด หอยเชลล์ หรือกุ้งลึกอาร์กติก หากมาในฤดูหนาว หมู่เกาะโลโฟเทนยังเป็นหนึ่งในสถานที่ที่สามารถมองเห็นแสงเหนือได้อย่างชัดเจน ท้องฟ้าที่มืดสนิทตัดกับริ้วแสงสีเขียวที่พาดผ่านขอบฟ้า ทำให้ที่นี่เป็นจุดหมายปลายทางที่สมบูรณ์แบบสำหรับการล่าแสงเหนือ

Overnightตัวเลือกที่พักแนะนำ: Reine Rorbuer หรือ Eliassen Rorbuer บ้านพักชาวประมงที่มีวิวทะเลสวยที่สุด

 

Day 3 เรย์เน (Reine) - ทรอนด์เฮม (Trondheim)

 

เช้าวันนี้ตื่นมาพร้อมอากาศบริสุทธิ์ของหมู่บ้านเรย์เน หมู่บ้านชาวประมงเล็ก ๆ ที่ตั้งอยู่กลางอ้อมกอดของฟยอร์ดและภูเขาสูง ทิวทัศน์ยามเช้าในเรย์เนงดงามราวกับภาพวาด โดยเฉพาะเมื่อแสงแดดแรกของวันสะท้อนลงบนผิวน้ำและบ้านไม้สีแดงของชาวประมง รับประทานอาหารเช้าพร้อมชมวิวฟยอร์ด ก่อนเดินเล่นสำรวจหมู่บ้านในช่วงเช้า อิสระเก็บภาพบรรยากาศสุดประทับใจ เดินเล่นตามท่าเรือ หรือแวะชิมกาแฟร้อน ๆ ที่ร้านคาเฟ่เล็ก ๆ พร้อมขนมปังอบสดใหม่

หากต้องการเพิ่มความพิเศษให้กับเช้าวันนี้ สามารถเลือกทำกิจกรรมเสริม เช่น พายเรือคายัคใน Reinefjorden เพื่อชมวิวธรรมชาติจากมุมมองใหม่ หรือเลือก ล่องเรือชมฟยอร์ด ซึ่งจะพาผู้เดินทางไปสัมผัสธรรมชาติที่เงียบสงบของหมู่เกาะโลโฟเทน พร้อมชื่นชมภูเขาสูงชันที่ตั้งตระหง่านเหนือผืนน้ำ

จากนั้นเดินทางออกจากเรย์เนสู่ ทรอนด์เฮม (Trondheim) เมืองที่เคยเป็นเมืองหลวงเก่าของนอร์เวย์ในช่วงยุคกลาง และปัจจุบันเป็นหนึ่งในเมืองที่มีประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมที่สำคัญของประเทศ การเดินทางจากโลโฟเทนไปทรอนด์เฮมสามารถเลือกได้ระหว่าง บินภายในประเทศ เพื่อประหยัดเวลา หรือเลือกเดินทางด้วย เรือ + รถไฟ + รถยนต์ เพื่อดื่มด่ำกับทิวทัศน์ของนอร์เวย์ตลอดเส้นทาง

เมื่อเดินทางถึงทรอนด์เฮม เมืองนี้มีเสน่ห์เฉพาะตัวด้วยอาคารไม้สีสันสดใสที่เรียงรายริมแม่น้ำ Nidelva พร้อมบรรยากาศของเมืองเก่าที่เต็มไปด้วยชีวิตชีวา จุดหมายแรกคือ มหาวิหารนิดารอส (Nidaros Cathedral) มหาวิหารโกธิกที่ใหญ่ที่สุดในยุโรปเหนือ และเป็นจุดหมายปลายทางสำคัญของผู้แสวงบุญ สร้างขึ้นในศตวรรษที่ 11 บนสุสานของ Saint Olaf กษัตริย์ผู้เป็นที่เคารพของชาวนอร์เวย์ ภายในมหาวิหารมีรายละเอียดงานสลักหินที่งดงาม และหน้าต่างกระจกสีที่สะท้อนแสงอาทิตย์ได้อย่างมหัศจรรย์

จากนั้นเดินเล่นไปยัง สะพานเก่า Gamle Bybro (Old Town Bridge) ซึ่งสร้างขึ้นในปี 1861 และเป็นสัญลักษณ์ของเมือง สะพานแห่งนี้ทอดตัวข้ามแม่น้ำ Nidelva และเป็นหนึ่งในจุดชมวิวเมืองที่สวยที่สุด เดินข้ามสะพานไปยัง Bakklandet ย่านเมืองเก่าที่เต็มไปด้วยอาคารไม้สีสันสดใส ซึ่งปัจจุบันกลายเป็นคาเฟ่ ร้านอาหาร และร้านบูติกเล็ก ๆ ที่ยังคงเอกลักษณ์ของนอร์เวย์แบบดั้งเดิม

สำหรับช่วงค่ำ สามารถเลือกรับประทานอาหารค่ำในย่าน Solsiden ซึ่งเป็นศูนย์รวมของร้านอาหารและบาร์ริมแม่น้ำ เมนูที่แนะนำคือ ปลาแซลมอนย่าง หรือ Klippfisk (ปลาค็อดแห้ง) ซึ่งเป็นอาหารขึ้นชื่อของภูมิภาค เพลิดเพลินกับบรรยากาศริมแม่น้ำก่อนกลับเข้าที่พัก

Overnight:ตัวเลือกที่พักแนะนำ: Britannia Hotel หรือ Scandic Nidelven โรงแรมที่มีวิวริมแม่น้ำสวยงาม

 

Day 4 ทรอนด์เฮม (Trondheim) - ถนนมหาสมุทรแอตแลนติก (The Atlantic Ocean Road) - คริสเตียนซุนด์ (Kristiansund)

 

เช้าวันนี้เริ่มต้นที่ ทรอนด์เฮม (Trondheim) เมืองที่เคยเป็นเมืองหลวงเก่าของนอร์เวย์ในยุคไวกิ้ง มีประวัติศาสตร์ยาวนานกว่า 1,000 ปีและเป็นศูนย์กลางของศาสนาคริสต์ในนอร์เวย์ มหาวิหารนิดารอส (Nidaros Cathedral) เป็นสถานที่สำคัญที่สุดของเมือง และยังเป็นมหาวิหารแบบโกธิกที่ใหญ่ที่สุดในยุโรปเหนือ สร้างขึ้นในศตวรรษที่ 11 บนสุสานของกษัตริย์ไวกิ้ง Saint Olaf ภายในประดับด้วยหน้าต่างกระจกสีสวยงามและประติมากรรมหินที่ละเอียดอ่อน ถือเป็นสถานที่ที่มีความศักดิ์สิทธิ์มากที่สุดแห่งหนึ่งในประเทศ

จากนั้น เดินเล่นบนสะพานเก่า Gamle Bybro (Old Town Bridge) สะพานแห่งนี้สร้างขึ้นในปี 1861 และเป็นสัญลักษณ์ของเมือง เชื่อมต่อเขตเมืองเก่า Bakklandet กับใจกลางเมือง เดินข้ามสะพานจะพบกับ Bakklandet ย่านเมืองเก่าที่เต็มไปด้วยโกดังไม้หลากสีสันซึ่งปัจจุบันกลายเป็นร้านกาแฟ ร้านอาหาร และร้านค้าท้องถิ่น บรรยากาศอบอุ่นและเหมาะสำหรับการเดินเล่นถ่ายภาพริมแม่น้ำ Nidelva ซึ่งเป็นจุดชมวิวสำคัญของทรอนด์เฮม

หลังจากเพลิดเพลินกับบรรยากาศเมืองเก่า ออกเดินทางสู่ The Atlantic Ocean Road ถนนที่ได้รับการขนานนามว่าเป็นหนึ่งในถนนที่สวยที่สุดในโลก ถนนสายนี้ทอดยาวประมาณ 8.3 กิโลเมตร เชื่อมต่อเกาะเล็ก ๆ หลายแห่งผ่านสะพานโค้งที่ดูเหมือนลอยอยู่กลางมหาสมุทรแอตแลนติก หนึ่งในจุดเด่นคือ Storseisundet Bridge ซึ่งมีลักษณะโค้งสูงและดูราวกับว่าถนนขาดช่วงเมื่อมองจากมุมหนึ่ง ทำให้เป็นหนึ่งในจุดถ่ายรูปยอดนิยมของนักเดินทาง ระหว่างทางสามารถจอดแวะตามจุดชมวิวต่าง ๆ เพื่อถ่ายภาพและสัมผัสความยิ่งใหญ่ของธรรมชาติ โดยเฉพาะในวันที่คลื่นลมแรง น้ำทะเลกระแทกเข้ากับถนนทำให้เกิดภาพที่น่าตื่นตาตื่นใจ

เดินทางต่อไปยัง คริสเตียนซุนด์ (Kristiansund) เมืองชายฝั่งที่ตั้งอยู่บนหมู่เกาะในมหาสมุทรแอตแลนติก คริสเตียนซุนด์เป็นเมืองที่มีความสำคัญทางประวัติศาสตร์ด้านการทำประมงปลาค็อดมาตั้งแต่ศตวรรษที่ 17 และขึ้นชื่อว่าเป็น "เมืองแห่งคลิปฟิสก์ (Klippfisk)" หรือปลาค็อดแห้งที่ส่งออกไปทั่วโลก เมืองนี้มีเสน่ห์ด้วยอาคารไม้สีสันสดใสที่เรียงรายอยู่ริมอ่าว ท่าเรือของเมืองเป็นจุดที่เหมาะสำหรับการเดินเล่นชมบรรยากาศแบบนอร์เวย์ดั้งเดิม

รับประทานอาหารค่ำในร้านอาหารริมทะเล พร้อมลิ้มลองอาหารทะเลสด ๆ โดยเฉพาะเมนูปลาค็อดซึ่งเป็นเอกลักษณ์ของเมือง จากนั้นเข้าที่พักในคริสเตียนซุนด์ เพื่อพักผ่อนก่อนเดินทางต่อในวันถัดไป

Overnightที่พักแนะนำในคริสเตียนซุนด์: Thon Hotel Kristiansund - โรงแรมริมทะเล วิวอ่าวสวย ห้องพักสบาย อาหารเช้าคุณภาพดี

 

Day 5 ทรอนด์เฮม (Trondheim) - ถนนมหาสมุทรแอตแลนติก (The Atlantic Ocean Road) - เกรังเกอร์ฟยอร์ด (Geirangerfjord)

 

เริ่มต้นเช้าวันนี้ที่ ทรอนด์เฮม เมืองที่เต็มไปด้วยประวัติศาสตร์และสถาปัตยกรรมอันงดงาม ออกเดินทางสู่ The Atlantic Ocean Road ซึ่งได้รับการยกย่องว่าเป็นหนึ่งในถนนที่สวยที่สุดในโลก ระยะทางระหว่างทรอนด์เฮมไปยังเส้นทางถนนมหาสมุทรแอตแลนติกอยู่ที่ประมาณ 200 กิโลเมตร ตลอดทางจะได้สัมผัสกับวิวธรรมชาติที่เปลี่ยนแปลงไปจากป่าสนหนาทึบสู่ชายฝั่งทะเลอันกว้างใหญ่

เมื่อมาถึง The Atlantic Ocean Road ถนนสายนี้ทอดยาว 8.3 กิโลเมตร เชื่อมต่อเกาะเล็ก ๆ หลายแห่งผ่านสะพานที่มีโครงสร้างโค้งสวยงาม จุดเด่นที่สุดของเส้นทางนี้คือ Storseisundet Bridge ซึ่งมีลักษณะโค้งสูงเหนือมหาสมุทร เมื่อลมพัดแรง น้ำทะเลกระแทกกับสะพานเป็นภาพที่น่าตื่นตาตื่นใจ นักเดินทางสามารถแวะถ่ายภาพตามจุดชมวิวริมถนน หรือลองเดินเล่นบนสะพานเพื่อสัมผัสบรรยากาศของมหาสมุทรแอตแลนติกแบบใกล้ชิด

จากนั้นเดินทางต่อไปยัง เกรังเกอร์ฟยอร์ด (Geirangerfjord) ซึ่งเป็นหนึ่งในฟยอร์ดที่ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกโดยยูเนสโก ผ่านเส้นทาง Norwegian Scenic Route 63 ซึ่งเป็นถนนเลียบภูเขาที่มีวิวสวยที่สุดในนอร์เวย์ ระหว่างทางสามารถแวะที่ Trollstigen (ถนนโทรลล์สติเกน) ซึ่งเป็นถนนที่คดเคี้ยวไปตามไหล่เขา มีโค้งหักศอกถึง 11 โค้ง และเป็นหนึ่งในเส้นทางที่นักขับรถนิยมมาท้าทายฝีมือ

เมื่อเข้าสู่พื้นที่ เกรังเกอร์ฟยอร์ด จะพบกับวิวฟยอร์ดที่มีน้ำทะเลสีฟ้าใส โอบล้อมด้วยหน้าผาสูงชันและน้ำตกที่ไหลลงมาจากภูเขาสูง หนึ่งในจุดไฮไลต์ที่ต้องแวะคือ Dalsnibba Viewpoint ซึ่งเป็นจุดชมวิวที่สูงที่สุดในบริเวณนี้ สามารถมองลงไปเห็นทั้งฟยอร์ดแบบพาโนรามา หากมาในช่วงฤดูใบไม้ผลิหรือฤดูร้อน ทิวทัศน์จะเต็มไปด้วยต้นไม้เขียวขจีตัดกับน้ำทะเลสีเข้ม ส่วนในฤดูหนาวจะได้เห็นวิวหิมะปกคลุมไปทั่วบริเวณ

กิจกรรมที่ไม่ควรพลาดเมื่อมาถึงเกรังเกอร์ฟยอร์ดคือ ล่องเรือชมฟยอร์ด ซึ่งจะพาผู้เดินทางไปสัมผัสธรรมชาติอันยิ่งใหญ่ของที่นี่อย่างใกล้ชิด ระหว่างทางเรือจะล่องผ่านน้ำตกชื่อดังของเกรังเกอร์ฟยอร์ด ได้แก่ น้ำตก Seven Sisters (น้ำตกเจ็ดสาวพี่น้อง) ซึ่งไหลลงมาจากหน้าผาสูงกว่า 250 เมตร และ น้ำตก The Suitor ที่อยู่ฝั่งตรงข้ามกัน เชื่อกันว่าเป็นเรื่องราวของเจ้าบ่าวที่พยายามขอเจ้าสาวทั้งเจ็ดเป็นภรรยา

ปิดท้ายวันด้วยการเดินเล่นในหมู่บ้านเกรังเกอร์ หมู่บ้านเล็ก ๆ ที่ตั้งอยู่ปลายฟยอร์ด มีร้านค้าเล็ก ๆ และคาเฟ่ที่ให้บรรยากาศเงียบสงบ พร้อมรับประทานอาหารค่ำท่ามกลางวิวของฟยอร์ด

Overnightที่พักแนะนำในเกรังเกอร์ฟยอร์ด: Hotel Union Geiranger - โรงแรมหรูระดับ 4 ดาว พร้อมวิวฟยอร์ดจากห้องพัก

 

Day 6 เกรังเกอร์ฟยอร์ด (Geirangerfjord) - ออลีซุนด์ (Ålesund)

 

เช้าวันนี้ ตื่นมาพร้อมกับอากาศบริสุทธิ์ใน เกรังเกอร์ฟยอร์ด หนึ่งในฟยอร์ดที่สวยที่สุดของโลก รับประทานอาหารเช้าที่โรงแรม พร้อมชมวิวของภูเขาและฟยอร์ดที่เงียบสงบ หากอากาศดี สามารถเดินขึ้นไปยัง Flydalsjuvet Viewpoint ซึ่งเป็นจุดชมวิวที่ให้มุมมองกว้างของเกรังเกอร์ฟยอร์ด เห็นแนวฟยอร์ดที่ล้อมรอบด้วยภูเขาสูงตระหง่าน

หลังจากนั้นออกเดินทางสู่ เมืองออลีซุนด์ (Ålesund) เมืองชายฝั่งที่มีชื่อเสียงด้านสถาปัตยกรรมอาร์ตนูโว (Art Nouveau) และเป็นเมืองที่ได้ชื่อว่าสวยที่สุดเมืองหนึ่งของนอร์เวย์ ระยะทางจากเกรังเกอร์ฟยอร์ดไปยังออลีซุนด์ประมาณ 110 กิโลเมตร โดยจะผ่านเส้นทางที่มีวิวภูเขา ทะเลสาบ และอ่าวเล็ก ๆ ที่งดงาม

เมื่อเดินทางมาถึงออลีซุนด์ จุดแรกที่ต้องแวะคือ Aksla Viewpoint จุดชมวิวที่สามารถมองเห็นตัวเมืองออลีซุนด์ได้แบบพาโนรามา หากต้องการท้าทายความฟิต สามารถเดินขึ้น 418 ขั้น เพื่อไปยังจุดชมวิวบนยอดเขา หรือเลือกขึ้นรถแท็กซี่ไปยังจุดชมวิวโดยตรง ที่นี่คุณจะได้เห็นเมืองที่ตั้งอยู่บนหมู่เกาะหลายแห่ง รายล้อมด้วยมหาสมุทรแอตแลนติก และบ้านเรือนสีสันสดใสที่เป็นเอกลักษณ์ของเมือง

หลังจากลงจากจุดชมวิว สามารถเดินเที่ยว ใจกลางเมืองออลีซุนด์ ซึ่งเต็มไปด้วยอาคารสไตล์อาร์ตนูโวที่ได้รับการบูรณะขึ้นใหม่หลังจากเหตุการณ์ไฟไหม้ครั้งใหญ่ในปี 1904 เมืองนี้ได้รับการสนับสนุนจากเยอรมนีให้สร้างใหม่ในสไตล์ยุโรปที่มีเอกลักษณ์ ทำให้อาคารทุกหลังมีรายละเอียดทางสถาปัตยกรรมที่งดงาม ไม่ว่าจะเป็นลวดลายอิฐ หน้าต่างทรงโค้ง หรือหอคอยเล็ก ๆ บนยอดตึก

สำหรับคนที่สนใจประวัติศาสตร์ของเมือง สามารถแวะ Jugendstilsenteret (Art Nouveau Center) ซึ่งเป็นพิพิธภัณฑ์ที่บอกเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับศิลปะแบบอาร์ตนูโวในออลีซุนด์ และการสร้างเมืองขึ้นใหม่หลังจากไฟไหม้ครั้งใหญ่

ช่วงบ่ายสามารถเดินเล่นที่ Skansenkaia ซึ่งเป็นท่าเรือเก่าของเมือง และเป็นจุดที่มีร้านอาหารทะเลสดใหม่ขึ้นชื่อของออลีซุนด์ ลองลิ้มรสเมนูแนะนำอย่าง ปลาแอตแลนติกค็อด หรือกุ้งลึกจากฟยอร์ด ที่จับขึ้นมาสด ๆ จากทะเล

หากมีเวลา สามารถล่องเรือออกไปสำรวจเกาะเล็ก ๆ รอบเมือง เช่น เกาะ Godøy และเกาะ Runde ซึ่งเป็นที่อยู่อาศัยของนกพัฟฟินและสัตว์ทะเลนานาชนิด

ช่วงค่ำ เดินเล่นริมอ่าวเพื่อสัมผัสบรรยากาศโรแมนติกของเมืองก่อนเข้าที่พัก

Overnightที่พักแนะนำในออลีซุนด์: Hotel Brosundet - โรงแรมบูติกริมอ่าว ตั้งอยู่ในอาคารประวัติศาสตร์ บรรยากาศอบอุ่น

 

Day 7 ออลีซุนด์ (Ålesund) - เบอร์เกน (Bergen)

 

เช้าวันนี้ เริ่มต้นวันด้วยบรรยากาศสงบของ ออลีซุนด์ เมืองที่ขึ้นชื่อเรื่องสถาปัตยกรรมอาร์ตนูโว เดินเล่นยามเช้าในย่านเมืองเก่า พร้อมแวะร้านกาแฟเล็ก ๆ ในบรรยากาศอบอุ่น หรือจะขึ้นไปชมวิวเมืองจาก Aksla Viewpoint อีกครั้งในแสงยามเช้าก็เป็นตัวเลือกที่ยอดเยี่ยม

จากนั้นออกเดินทางสู่ เบอร์เกน (Bergen) เมืองที่ได้ชื่อว่าเป็น "เมืองหลวงแห่งฟยอร์ด" ของนอร์เวย์ การเดินทางจากออลีซุนด์ไปเบอร์เกนสามารถทำได้สองทาง

- บินภายในประเทศ ใช้เวลาประมาณ 45 นาที
- ขับรถผ่านเส้นทาง Scenic Route ใช้เวลาประมาณ 7 ชั่วโมง โดยสามารถแวะจุดชมวิวระหว่างทาง
หากเลือกขับรถ จะได้เพลิดเพลินกับเส้นทางที่ผ่านทะเลสาบ ภูเขา และฟยอร์ดที่สวยงาม โดยสามารถแวะพักที่ Sognefjord ซึ่งเป็นฟยอร์ดที่ยาวที่สุดและลึกที่สุดของนอร์เวย์

เมื่อเดินทางมาถึง เบอร์เกน เมืองนี้เป็นเมืองที่เต็มไปด้วยเสน่ห์ของอาคารไม้เก่าแก่และวัฒนธรรมริมชายฝั่ง สถานที่แรกที่ต้องไปเยือนคือ Bryggen Wharf หรือท่าเรือเก่าของเบอร์เกน ซึ่งเป็นมรดกโลกโดยยูเนสโก บ้านไม้สีสันสดใสที่เรียงรายกันอยู่ริมท่าเรือแห่งนี้เคยเป็นศูนย์กลางการค้าในยุคไวกิ้งและยุคกลาง ปัจจุบันกลายเป็นร้านค้า ร้านอาหาร และพิพิธภัณฑ์ที่เล่าเรื่องราวของอดีต

ถัดไปสามารถแวะ ตลาดปลาเบอร์เกน (Bergen Fish Market) ซึ่งเป็นตลาดปลาที่มีชื่อเสียงที่สุดของประเทศ ที่นี่เต็มไปด้วยอาหารทะเลสดใหม่จากทะเลเหนือ ไม่ว่าจะเป็นปลาแซลมอน กุ้ง ล็อบสเตอร์ หรือแม้กระทั่งปลาวาฬที่บางร้านมีให้ลอง

ช่วงบ่าย ขึ้นกระเช้า Fløibanen Funicular เพื่อไปยังยอดเขา Fløyen หนึ่งในจุดชมวิวที่ดีที่สุดของเมือง จากด้านบนสามารถมองเห็นวิวของเบอร์เกนทั้งเมือง พร้อมแนวชายฝั่งที่ทอดยาวไปสุดสายตา หากต้องการเดินเล่นในธรรมชาติ สามารถเดินป่ารอบ ๆ บริเวณยอดเขา ซึ่งมีเส้นทางเดินที่ร่มรื่นและเหมาะสำหรับการพักผ่อน

หากยังมีเวลา สามารถแวะเยี่ยมชม พิพิธภัณฑ์เรือไวกิ้งของเบอร์เกน (Bergen Maritime Museum) ซึ่งแสดงประวัติศาสตร์การเดินเรือของชาวนอร์เวย์ ตั้งแต่ยุคไวกิ้งจนถึงปัจจุบัน หรือเดินเล่นใน Gamle Bergen (Old Bergen Museum) ซึ่งเป็นเมืองจำลองที่แสดงให้เห็นว่าเบอร์เกนเคยเป็นอย่างไรในอดีต

ช่วงค่ำ รับประทานอาหารในร้านอาหารริมทะเล ลิ้มลองอาหารพื้นเมืองอย่าง ปลาแซลมอนนอร์เวย์ย่าง หรือหอยเชลล์จากฟยอร์ด ก่อนเดินเล่นริมอ่าวเพื่อสัมผัสบรรยากาศโรแมนติกของเมือง

Overnight:ที่พักแนะนำในเบอร์เกน: Opus XVI - โรงแรมหรูระดับ 5 ดาว ตั้งอยู่ใจกลางเมือง ใกล้ย่าน Bryggen

 

Day 8 สำรวจเบอร์เกน (Bergen)

 

เช้าวันนี้เริ่มต้นด้วยการเดินเล่นในย่าน Bryggen Wharf อีกครั้ง เพื่อสัมผัสบรรยากาศของเมืองในช่วงเช้า ก่อนที่นักท่องเที่ยวจะเริ่มหลั่งไหลเข้ามา บ้านไม้สีสันสดใสที่เรียงรายอยู่ริมท่าเรือนี้สร้างขึ้นตั้งแต่ศตวรรษที่ 14 และเคยเป็นศูนย์กลางการค้าของสมาคมฮันเซียติก (Hanseatic League) ปัจจุบัน Bryggen ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกจากยูเนสโก โดยสามารถเดินสำรวจตรอกซอกซอยแคบ ๆ ระหว่างอาคาร และแวะเยี่ยมชมร้านขายของพื้นเมืองที่ซ่อนตัวอยู่ภายใน

ถัดไป เยี่ยมชม พิพิธภัณฑ์ฮันเซียติก (Hanseatic Museum and Schøtstuene) ซึ่งบอกเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับพ่อค้าชาวเยอรมันที่เข้ามามีอิทธิพลในเบอร์เกนในช่วงยุคกลาง พร้อมชมบ้านไม้ที่ยังคงอนุรักษ์ไว้อย่างดีจากศตวรรษที่ 18

ช่วงสาย เดินไปยัง ตลาดปลาเบอร์เกน (Bergen Fish Market) ซึ่งเป็นหนึ่งในตลาดที่มีชีวิตชีวาที่สุดของนอร์เวย์ นอกจากอาหารทะเลสดใหม่แล้ว ยังมีผลิตภัณฑ์ท้องถิ่น เช่น ไส้กรอกกวางเรนเดียร์ และแยมผลไม้ป่าจำหน่ายอีกด้วย สามารถลองชิม ปลาแซลมอนรมควัน หรือหอยเม่นสดจากทะเลนอร์เวย์ ซึ่งเป็นของขึ้นชื่อของที่นี่

จากนั้น ขึ้นกระเช้า Fløibanen Funicular อีกครั้งเพื่อไปยังยอดเขา Fløyen แต่วันนี้มีเวลาให้สำรวจมากขึ้น โดยสามารถเดินป่าไปตามเส้นทางธรรมชาติที่เงียบสงบ ท่ามกลางป่าสนและทะเลสาบที่ซ่อนตัวอยู่บนเขา หากต้องการความท้าทาย สามารถเลือกเดินขึ้นเขาแทนการนั่งกระเช้า

ช่วงบ่าย หากสนใจศิลปะและประวัติศาสตร์ สามารถเลือกไปเยี่ยมชม พิพิธภัณฑ์โครเดอร์ (KODE Art Museums) ซึ่งเป็นกลุ่มพิพิธภัณฑ์ศิลปะที่จัดแสดงผลงานของศิลปินนอร์เวย์ชื่อดัง เช่น Edvard Munch หรือเลือกไป พิพิธภัณฑ์เรือไวกิ้งของเบอร์เกน (Bergen Maritime Museum) เพื่อเรียนรู้เกี่ยวกับประวัติศาสตร์การเดินเรือของชาวนอร์เวย์

อีกหนึ่งจุดที่ไม่ควรพลาดคือ Gamle Bergen (Old Bergen Museum) เมืองจำลองที่แสดงให้เห็นว่าเบอร์เกนเคยเป็นอย่างไรในอดีต โดยมีบ้านไม้แบบดั้งเดิมกว่า 50 หลัง และนักแสดงแต่งกายในชุดยุคเก่า คอยจำลองวิถีชีวิตของชาวเมืองเบอร์เกนในอดีต

ช่วงเย็น แนะนำให้เดินทางไป ย่าน Nordnes ซึ่งเป็นย่านที่เงียบสงบของเบอร์เกน เต็มไปด้วยบ้านไม้เก่าที่ได้รับการอนุรักษ์ไว้อย่างดี และมีร้านอาหารที่ซ่อนตัวอยู่ในตรอกเล็ก ๆ สำหรับมื้อค่ำ แนะนำร้านอาหารริมทะเลที่เสิร์ฟเมนูปลาสด ๆ จากทะเลนอร์เวย์

Overnight:ที่พักแนะนำในเบอร์เกน: Hotel Norge by Scandic - โรงแรมหรูระดับ 5 ดาว ตั้งอยู่ใจกลางเมือง ใกล้แหล่งช้อปปิ้ง

 

Day 9 เบอร์เกน (Bergen) - ฟลัม (Flåm)

 

เช้าวันนี้ อำลาเมือง เบอร์เกน ออกเดินทางสู่ ฟลัม (Flåm) หมู่บ้านเล็ก ๆ ที่ตั้งอยู่ริมฟยอร์ดในเขต Aurlandsfjord ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของ Sognefjord ฟยอร์ดที่ยาวที่สุดและลึกที่สุดในนอร์เวย์ ระยะทางจากเบอร์เกนไปฟลัมประมาณ 170 กิโลเมตร แต่หากต้องการสัมผัสวิวสุดอลังการ สามารถเลือกเดินทางโดย รถไฟสายเบอร์เกน (Bergen Railway) และรถไฟฟลัม (Flåmsbana) ซึ่งเป็นเส้นทางที่ได้รับการยกย่องว่าสวยที่สุดในโลก

หากเลือกเดินทางโดยรถไฟ จะนั่ง Bergen Railway จากเบอร์เกนไปยัง Myrdal Station ซึ่งเป็นสถานีเปลี่ยนขบวนเพื่อขึ้น Flåmsbana หรือรถไฟฟลัม ระหว่างทางรถไฟจะพาผ่านภูเขาสูง ฟยอร์ด น้ำตก และหุบเขา ก่อนเข้าสู่เส้นทางที่ขึ้นชื่อว่าชันที่สุดในยุโรป โดยมีความลาดชันถึง 5.5% ตลอดระยะทาง 20 กิโลเมตร รถไฟจะลดระดับลงสู่หมู่บ้านฟลัม ผ่านวิวสุดตระการตาของ Kjosfossen Waterfall น้ำตกขนาดใหญ่ที่นักเดินทางสามารถลงไปถ่ายรูปได้ที่จุดพักของรถไฟ

เมื่อเดินทางมาถึง ฟลัม หมู่บ้านเล็ก ๆ ที่เงียบสงบตั้งอยู่ริมฟยอร์ด จะสัมผัสได้ถึงบรรยากาศของธรรมชาติที่ล้อมรอบด้วยภูเขาสูงและน้ำสีฟ้าคราม สามารถเดินเล่นชมวิวรอบ ๆ หมู่บ้าน หรือแวะเยี่ยมชม Flåm Railway Museum ซึ่งจัดแสดงประวัติความเป็นมาของรถไฟฟลัม และการสร้างเส้นทางรถไฟที่น่าทึ่งนี้

ช่วงบ่ายสามารถเลือกทำกิจกรรมสุดพิเศษ ล่องเรือชมฟยอร์ดใน Naerøyfjord ฟยอร์ดแคบที่ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกโดยยูเนสโก เรือจะแล่นผ่านแนวภูเขาสูงชันที่ตัดตรงลงสู่น้ำทะเล เผยให้เห็นหมู่บ้านเล็ก ๆ ริมฟยอร์ดที่ดูราวกับภาพวาด

อีกหนึ่งกิจกรรมที่น่าสนใจคือ การปั่นจักรยานหรือเดินป่าตามเส้นทาง Rallarvegen ซึ่งเป็นเส้นทางธรรมชาติที่สวยงามที่สุดแห่งหนึ่งในนอร์เวย์ โดยจะผ่านทะเลสาบ แม่น้ำ และภูเขาที่ปกคลุมไปด้วยทุ่งหญ้าสีเขียว หรือหิมะในฤดูหนาว

ช่วงเย็น รับประทานอาหารค่ำที่ร้านอาหารริมฟยอร์ด ลิ้มลองเมนูปลาแซลมอนนอร์เวย์ หรืออาหารพื้นเมืองของฟลัม ก่อนเข้าที่พักเพื่อพักผ่อนท่ามกลางความสงบของธรรมชาติ

Overnightที่พักแนะนำในฟลัม: Fretheim Hotel - โรงแรมบูติกที่ตั้งอยู่ใกล้สถานีรถไฟฟลัม มีวิวฟยอร์ดที่สวยงาม

 

Day 10 ฟลัม (Flåm) - ออสโล (Oslo)

เช้าวันนี้ ตื่นขึ้นมาพร้อมอากาศบริสุทธิ์ของ ฟลัม หมู่บ้านเล็ก ๆ ที่ตั้งอยู่ท่ามกลางธรรมชาติอันเงียบสงบริม Sognefjord หลังรับประทานอาหารเช้า สามารถเดินเล่นริมฟยอร์ด หรือแวะจิบกาแฟที่คาเฟ่ริมท่าเรือ พร้อมชมวิวภูเขาสูงที่โอบล้อมหมู่บ้าน

จากนั้นออกเดินทางสู่ ออสโล (Oslo) เมืองหลวงของนอร์เวย์ โดยมีสองทางเลือกสำหรับการเดินทาง
- นั่งรถไฟสาย Flåmsbana + Bergen Railway - เส้นทางที่ได้รับการยกย่องว่าสวยที่สุดในนอร์เวย์ ผ่านหุบเขาและภูเขาสูง ใช้เวลาประมาณ 6.5 - 7 ชั่วโมง
- ขับรถจากฟลัมไปออสโล - ระยะทางประมาณ 315 กิโลเมตร ใช้เวลาขับรถประมาณ 5 ชั่วโมง ผ่านเส้นทางธรรมชาติที่งดงาม
เส้นทางรถไฟ Flåmsbana + Bergen Railway เป็นทางเลือกที่ยอดเยี่ยมสำหรับการดื่มด่ำกับวิวทิวทัศน์ของนอร์เวย์ โดยรถไฟจะพาผ่าน Myrdal และเปลี่ยนขบวนไปยัง Bergen Railway ซึ่งจะผ่านหุบเขา ทะเลสาบ และป่าสนที่สวยงาม

เมื่อเดินทางถึง ออสโล เมืองหลวงของนอร์เวย์ ซึ่งเป็นศูนย์กลางทางศิลปะ วัฒนธรรม และการเมือง เมืองนี้เป็นเมืองที่มีทั้งประวัติศาสตร์และความทันสมัยผสมผสานกันอย่างลงตัว

จุดแรกที่ต้องเยี่ยมชมคือ Vigeland Sculpture Park หรือสวนประติมากรรมวิกเกลันด์ ซึ่งเป็นสวนประติมากรรมกลางแจ้งที่ใหญ่ที่สุดในโลก ประติมากรรมเหล่านี้เป็นผลงานของศิลปินชาวนอร์เวย์ Gustav Vigeland ที่สะท้อนถึงอารมณ์ ความสัมพันธ์ และช่วงชีวิตของมนุษย์

จากนั้นเดินทางไปยัง Akershus Fortress ป้อมปราการเก่าแก่ที่ตั้งอยู่ริมอ่าวออสโล สร้างขึ้นในศตวรรษที่ 13 และเคยใช้เป็นพระราชวัง ปัจจุบันเป็นสถานที่ทางประวัติศาสตร์ที่เปิดให้ผู้มาเยี่ยมชมสามารถเดินเล่นบนกำแพงป้อมเพื่อชมวิวเมืองและอ่าวออสโล

ช่วงบ่าย สามารถเลือกเที่ยวชม พิพิธภัณฑ์เรือไวกิ้ง (Viking Ship Museum) ซึ่งจัดแสดงเรือไวกิ้งที่ขุดพบจากสุสานของชนชั้นสูงชาวไวกิ้ง หรือเลือกไป MUNCH Museum พิพิธภัณฑ์ศิลปะที่จัดแสดงผลงานของ Edvard Munch ศิลปินชาวนอร์เวย์เจ้าของภาพวาด "The Scream" อันโด่งดัง

ช่วงเย็น เดินเล่นที่ ย่าน Aker Brygge ซึ่งเป็นย่านริมอ่าวที่เต็มไปด้วยร้านอาหาร บาร์ และแหล่งช้อปปิ้ง บรรยากาศที่นี่เหมาะสำหรับการนั่งรับประทานอาหารค่ำริมทะเล พร้อมลิ้มลองเมนูอาหารทะเลหรืออาหารนอร์เวย์แบบดั้งเดิม เช่น ปลาแซลมอนย่าง หรือเนื้อกวางเรนเดียร์

Overnight:ที่พักแนะนำในออสโล: The Thief - โรงแรมหรูระดับ 5 ดาว ตั้งอยู่ริมอ่าวออสโล วิวสวย บริการระดับพรีเมียม

 

Day 11 สำรวจออสโล (Oslo)

 

เช้าวันนี้ เริ่มต้นวันด้วยการเดินเล่นใน Karl Johans gate ถนนสายหลักของออสโลที่เต็มไปด้วยร้านค้า ร้านอาหาร และอาคารสำคัญของเมือง ถนนสายนี้เชื่อมต่อจาก Oslo Central Station ไปยัง พระราชวังหลวง (Royal Palace of Norway) ซึ่งเป็นที่ประทับของราชวงศ์นอร์เวย์

เมื่อเดินถึง พระราชวังหลวง สามารถเยี่ยมชมบริเวณรอบ ๆ พระราชวังและ สวนสาธารณะ Slottsparken ซึ่งเป็นพื้นที่สีเขียวที่เหมาะสำหรับการพักผ่อน หากมาในช่วงฤดูร้อน สามารถเข้าร่วมทัวร์ภายในพระราชวัง ซึ่งเปิดให้เข้าชมเฉพาะฤดูร้อนเท่านั้น

จากนั้น เดินทางไปเยี่ยมชม พิพิธภัณฑ์เรือไวกิ้ง (Viking Ship Museum) ซึ่งจัดแสดงเรือไวกิ้งที่ขุดพบจากสุสานของชนชั้นสูงในยุคไวกิ้ง เรือเหล่านี้มีอายุกว่า 1,200 ปี และเป็นหนึ่งในสิ่งที่บ่งบอกถึงความรุ่งเรืองของอารยธรรมไวกิ้งในอดีต

ช่วงสาย แวะชม โอเปร่าเฮาส์ออสโล (Oslo Opera House) ซึ่งเป็นสถาปัตยกรรมสมัยใหม่ที่มีเอกลักษณ์ โดดเด่นด้วยดีไซน์อาคารที่คล้ายภูเขาน้ำแข็ง และสามารถเดินขึ้นไปบนหลังคาของอาคารเพื่อชมวิวอ่าวออสโลแบบพาโนรามา

ช่วงบ่าย สามารถเลือกเยี่ยมชม MUNCH Museum ซึ่งจัดแสดงผลงานของ Edvard Munch เจ้าของภาพวาด "The Scream" อันโด่งดัง หรือหากสนใจเรื่องประวัติศาสตร์ สามารถไปที่ พิพิธภัณฑ์ Fram (Fram Museum) ซึ่งบอกเล่าเรื่องราวของเรือสำรวจขั้วโลกเหนือของนอร์เวย์

อีกหนึ่งจุดที่ไม่ควรพลาดคือ สวนประติมากรรมวิกเกลันด์ (Vigeland Sculpture Park) ซึ่งเป็นสวนประติมากรรมกลางแจ้งที่ใหญ่ที่สุดในโลก มีผลงานของศิลปินชาวนอร์เวย์ Gustav Vigeland กว่า 200 ชิ้น ที่สะท้อนอารมณ์และความสัมพันธ์ของมนุษย์

ช่วงเย็น แนะนำให้เดินเล่นริมอ่าวในย่าน Aker Brygge & Tjuvholmen ซึ่งเป็นศูนย์กลางของร้านอาหาร บาร์ และคาเฟ่บรรยากาศดี นั่งจิบเครื่องดื่มเย็น ๆ ชมพระอาทิตย์ตกดินริมอ่าว พร้อมรับประทานอาหารค่ำ ลิ้มลองเมนูปลาแอตแลนติกสด หรืออาหารพื้นเมืองอย่าง Fårikål (สตูเนื้อแกะกับกะหล่ำปลี) ซึ่งเป็นเมนูประจำชาติของนอร์เวย์

Overnightที่พักแนะนำในออสโล: Grand Hotel Oslo - โรงแรมหรูระดับ 5 ดาว ตั้งอยู่บน Karl Johans gate ใจกลางเมือง

 

Day 12 ออสโล (Oslo)

 

เช้านี้ เริ่มต้นวันด้วยการเดินเล่นที่ Frogner Park & Vigeland Sculpture Park ซึ่งเป็นสวนประติมากรรมกลางแจ้งที่ใหญ่ที่สุดในโลก และเป็นหนึ่งในสถานที่ท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงที่สุดของออสโล ภายในสวนมีประติมากรรมกว่า 200 ชิ้น ผลงานของ Gustav Vigeland ที่สะท้อนเรื่องราวของชีวิตมนุษย์จากวัยเด็กสู่ความชรา

จากนั้น เดินทางไปยัง Norsk Folkemuseum (พิพิธภัณฑ์พื้นบ้านนอร์เวย์) ซึ่งเป็นพิพิธภัณฑ์กลางแจ้งที่จัดแสดงบ้านเรือนเก่าแก่จากศตวรรษที่ 13 - 19 รวมถึง โบสถ์ไม้โบราณ (Stave Church) ซึ่งเป็นสถาปัตยกรรมที่มีเอกลักษณ์เฉพาะของสแกนดิเนเวีย

ช่วงบ่าย สามารถเลือกทำกิจกรรมเบา ๆ เช่น ล่องเรือในอ่าวออสโล หรือเดินทางไปยัง Holmenkollen Ski Jump ซึ่งเป็นสนามกระโดดสกีชื่อดังของออสโล ตั้งอยู่บนเนินเขา สามารถขึ้นไปชมวิวเมืองจากจุดสูงสุดของสแตนด์กระโดดสกีได้

ช่วงเย็น ลิ้มลองอาหารนอร์เวย์แบบดั้งเดิมที่ร้านอาหารท้องถิ่น พร้อมจิบไวน์หรือเบียร์ท้องถิ่น ก่อนเดินเล่นที่ Tjuvholmen ซึ่งเป็นย่านริมอ่าวที่มีวิวพระอาทิตย์ตกที่สวยที่สุดของออสโล

Overnightที่พักแนะนำในออสโล: Thon Hotel Opera - โรงแรมติดสถานีรถไฟหลัก สะดวกในการเดินทาง

 

Day 13 ออสโล (Oslo) เที่ยวธรรมชาตินอกเมืองออสโล

 

วันสุดท้ายก่อนเดินทางกลับ พักผ่อนท่ามกลางธรรมชาติของนอร์เวย์

วันนี้ออกเดินทางไปยัง Nordmarka Forest ซึ่งเป็นป่าใหญ่ที่อยู่ไม่ไกลจากออสโล และเป็นสถานที่ที่ชาวเมืองนิยมมาเดินป่า ปั่นจักรยาน และเล่นสกีในช่วงฤดูหนาว สามารถเลือกเส้นทางเดินป่าระยะสั้นหรือยาวได้ตามต้องการ และเพลิดเพลินกับวิวทะเลสาบและป่าสนอันกว้างใหญ่

อีกหนึ่งตัวเลือกคือ Drøbak เมืองชายฝั่งเล็ก ๆ ที่อยู่ทางใต้ของออสโล ใช้เวลาขับรถเพียง 40 นาที เมืองนี้เป็นที่รู้จักกันดีในฐานะ "เมืองของซานตาคลอส" เพราะมี Christmas House ซึ่งเป็นร้านขายของที่ระลึกเกี่ยวกับคริสต์มาสตลอดทั้งปี นอกจากนี้ยังสามารถเดินเล่นริมอ่าว หรือแวะชม Oscarsborg Fortress ป้อมปราการเก่าแก่ที่มีบทบาทสำคัญในประวัติศาสตร์ของนอร์เวย์

ช่วงบ่าย กลับเข้าสู่เมืองออสโล และให้เวลาอิสระสำหรับการเดินเล่น ช้อปปิ้งของฝาก หรือนั่งคาเฟ่ชมบรรยากาศเมือง

ช่วงเย็น รับประทานอาหารค่ำในร้านอาหารหรูของออสโล พร้อมลิ้มลอง อาหารทะเลสด ๆ หรือเมนูเนื้อกวางเรนเดียร์ เป็นมื้อพิเศษส่งท้ายก่อนเดินทางกลับ

Overnight:ที่พักแนะนำ: Radisson Blu Airport Hotel, Oslo Gardermoen - โรงแรมที่อยู่ติดสนามบิน เดินทางสะดวก

 

Day 14 ออสโล - สนามบิน Oslo Gardermoen 

 

เช้านี้ สามารถใช้เวลาที่เหลืออย่างอิสระ ก่อนนำท่านเดินทางไปสนามบิน Oslo Gardermoen Airport เพื่อเช็คอินและเตรียมตัวขึ้นเครื่องเดินทางกลับบ้าน พร้อมความทรงจำของวิวฟยอร์ด หมู่บ้านชาวประมง เมืองเก่า และแสงเหนือที่น่าประทับใจ

 

ราคา

ค่ารถตู้พร้อมคนขับ ราคาเริ่มต้นวันละ 40,000 บาท

 

ราคารวม

1. ค่ารถตู้พร้อมคนขับ (ราคารวมค่าน้ำมัน ทางด่วน โรงแรมและอาหารของคนขับแล้ว)

2. ค่าประกันการเดินทางแบบกลุ่ม ตามกฏหมายกำหนด คุ้มครองตามเงื่อนไขกรมธรรม์

 

ราคาไม่รวม

  1. โรงแรมของท่าน
  2. ที่จอดรถ จ่ายเป็นรายครั้งไป ตามโปรแกรมท่านเลือกเที่ยวจริง
  3. กรณีรถโค้ช ราคาไม่รวม City permit จ่ายเป็นรายครั้งไป ตามโปรแกรมท่านเที่ยวจริง, หากมีเอารถลงเรือ Ferry จ่ายเองหน้างานตามจริง
  4. ทิปคนขับ ตามพอใจ แนะนำ วันละ 40 ยูโร/คณะ
  5. อื่น ๆ ที่ไม่เขียนว่ารวม เช่น อาหารเที่ยงและเย็น ค่ายกกระเป๋า ณ โรงแรมที่พัก ค่าวีซ่าและค่าตั๋วเครื่องบินระหว่างประเทศ ตั๋วท่องเที่ยว จ่ายหน้างานเองตามจริง ภาษีมูลค่าเพิ่ม 7% และหัก ณ ที่จ่าย 3%
  6. หากต้องการหัวหน้าทัวร์ จ่ายเพิ่มวันละ 16,500 บาท ราคารวมโรงแรมและอาหารหัวหน้าทัวร์แล้ว

 

การจ่ายเงิน

• งวด 1 มัดจำ คณะละ 5,350 บาท สามารถจองผ่านบัตรเครดิต ผ่านหน้าระบบเวบไซต์ได้เลย จากนั้นเราจะออกใบจองทัวร์คอนเฟิร์มให้ท่าน (หากทริปไม่คอนเฟิร์ม จะคืนเงินให้ 100% ภายใน 7 วัน)

• งวดที่ 2 ท่านละ 5,000 บาท ภายใน 7 วัน หลังจากได้รับการคอนเฟิร์มแล้ว

• งวดที่ 3 ท่านละ 25,000 หลังจากวีซ่าผ่านแล้ว หรือ/และก่อนเดินทาง ไม่น้อยกว่า 30 วัน

• งวดที่ 4 ท่านละ ที่เหลือ วันที่ 2 ของทริป หลังจากเราไปรับท่านแล้ว (เพื่อความมั่นใจ)

 

ติดต่อเราได้ที่
?? Tel: 083-035-9755
?? Email: netnapa.seeyouagain@gmail.com
?? LINE ID: 004207289999999