รีวิวเที่ยว ลูกาโน่ Lugano Switzerland

รีวิวเที่ยว ลูกาโน่ Lugano Switzerland 

Lugano Switzerland ไม่ไกลจาก มิลาน นั่งรถไฟ ( Trenord ) ที่ Milano Centrale แค่ ชม กว่าๆก็ถึง รถไฟมาที่นี่มีหลายเจ้า ให้เลือก Trenord ( รถไฟอิตาลีแบบ Region train ที่วิ่งใน Lombardy ที่ สถานีมิลานต้องลงไปซื้อตั๋วในบริษัทเขาที่ชั้นล่างสุด เท่านั้น ) ถ้าใช้ Trenitalia เจ้าใหญ่จะเป็นรถ EC ราคาโหดมากแถมวิ่งนานอีก ถ้าจะมาเที่ยวเมืองนี้สามารถไปกลับมิลานวันเดียวสบายๆ ซื้อตั๋วไปกลับจากมิลานเลย อย่ามาซื่อที่นี่แพงกว่า
เมืองนี้พูดอิตาเลี่ยน บ้านเรือนสไตล์อิตาลีทางเหนือแต่ดูเป็นระเบียบแบบสวิส คนมานี่คือเดินชมเมืองรอบทะเลสาบ Lugano หรือนั่งเรือเที่ยว ( มีเรือเมลวิ่งไปหลายจุดในทะเลสาบ โดยเฉพาะจุดที่จะขึ้น aerial tram ที่จะไปจุดชมวิวบนเขา มีอยู่สองสามจุด ถ้าไม่อยากเสียตัง นี่คือสวิสมีทางเดินขึ้นไปได้ทุกจุด )


จากสถานีรถไฟในตัวเมือง ตัวสถานีตั้งอยู่บนที่สูงจะเข้ากลางเมืองหรือไปทะเลสาบต้องเดินลงไป จริงๆแค่เดินออกจากสถานีข้ามถนนตรงป้ายรถเมล์ไปก็มองเห็นทะเลสาบและเมืองทั้งเมืองแล้ว


จริงๆนอนที่นี่สองคืนแล้วจะนั่งรถไฟสวิส SBB เข้าไปตามเมืองต่างๆ เช่น Zermatt Bern Zurich เป็นต้น แต่ไม่รู้เกิดอะไรขึ้น ทำไมค่ารถไฟอยู่ๆโดดมาแบบคูณสองทุกอย่าง ทุกเมืองทุกสายที่เป็น SBB ขึ้นหมด ไม่ต้องซื้อแบบวันต่อวันถึงแม้จองปีหน้าก็ขึ้นราคา ( หรือเพราะค่าไฟในสวิสที่ขึ้นแบบโหดมาก ) เข้าไปในออฟฟิศ SBB ถามราคาที่ขายก็เหมือนกับราคาที่ตู้หรือในแอป เขาแนะนำซื้อสวิสพาส ผมดูแบบถูกสุด 4 days flexible 1 month โหเกือบ 400 CHF ( ใครมาเที่ยวประเทศนี้ต่อไปเช่ารถเถอะถูกกว่าเยอะ )


สรุปพรุ่งนี้กลับมิลาน แล้วนั่งรถอิตาลีไป Zurich แล้วข้ามไป Bavaria เลย สวิสเซอร์แลนด์ คง bye bye


แต่ขอ enjoy Italian food ในมิลานสักพัก ( ที่พักถูกดี )


การวางแผนและวิธีการขับรถในยุโรป


ก่อนอื่นต้องเช็คให้ดีว่าประเทศไหนควรขับรถเที่ยวหรือความต้องการจะเที่ยวแบบไหน


เช่นถ้ามาคนเดียวยังไงๆก็ไม่แนะนำเช่ารถขับ เพราะค่าใช้จ่ายสูงมากจ่ายเองทั้งค่าเช่า ประกัน


น้ำมัน tollway ที่จอดรถ ถ้ามาตั้งแต่สองคนขึ้นไปเช่ารถขับก็เป็นอีกทางเลือก แต่ถ้ามาเกินสี่คนคงต้องคิดหนักเพราะอาจจะต้องใช้รถใหญ่มากซึ่งจะขับไม่ง่ายเลยโดยเฉพาะอิตาลี


ถ้ามีสัมภาระมากมีกระเป๋าลากใบใหญ่ๆ ไม่เหมาะเลยที่จะเดินทางในยุโรป โดยเฉพาะใช้รถไฟ ต้องลากกระเป๋าไปกลับที่พักบางเมืองถนนไม่ใช่ทางราบแต่ขึ้นๆลงๆ ยิ่งเจอบันไดนี่เรื่องใหญ่ ( โดยเฉพาะในอิตาลี ) บางคนเอาอุปกรณ์ทำครัวเอาอาหารมาทำเองอีก ยังไงๆก็ควรเช่ารถ ยิ่งถ้าชอบที่พักแบบบรรยากาศธรรมชาติหรือท่องเที่ยวธรรมชาติ เช่ารถคือคำตอบ ฉะนั้นถ้าอยากขับรถก็ควรหาสมาชิกมาสมทบด้วยจะดีมาก


บางประเทศค่าใช้จ่ายเรื่องรถถูกมาก ทั้งที่จอดรถ ค่าน้ำมัน ค่า Toll แต่บางประเทศก็แพงเช่นกัน ( สวิสนี่เกือบทุกที่ถ้าจอดรถต้องจ่ายตัง ออสเตรียค่า Toll โดยเฉพาะอุโมงค์นี่เต็มไปหมด ยุบยิบมาก ขับรถจากประเทศอื่นเข้ามาก็ต้องเสียเงินด้วย ) วางแผนให้ดีว่าจะไปไหนบ้างจะเอาแค่ประเทศเดียวแบบเน้นๆ หรือขับตระเวนข้ามประเทศ หาเมืองที่เช่ารถให้ดี ทุกเมืองราคาไม่เท่ากันเงื่อนไขไม่เหมือนกันแม้จะเช่าบริษัทเดียวกัน


ถ้าอยากขับรถนานๆ เป็นเดือนขึ้นไป อีกทางเลือกคือหาซื้อรถมาเลย ใช้เสร็จขายต่อ จะประหยัดค่าเช่าและค่าประกันเยอะมาก บางประเทศเช่นฝรั่งเศสชาวต่างชาติซื้อรถผ่านลิสซิ่งได้ ( โดยไม่ต้องจ่ายโอนเต็ม ) ใช้เสร็จขายต่อลิสซิ่งเจ้าเดิมนั่นแหละ ลองหาดูมีหลายเจ้า


ส่วนพวก Motor home หรือรถลากต่างๆ ในประเทศแถบนี้ไม่แนะนำอย่างยิ่งขับยากมากถึงมากที่สุด ถนนบางสายเข้าไม่ได้แน่นอน
ก่อนจะมารับรถ ควรเตรียมแอปในการขับรถให้ดี ผมใช้แค่สามชนิด ( maps.me ใช้อันนี้เป็นหลักในการนำทางและหาเส้นทาง , Google ใช้ประกอบหาข้อมูลจุดหมายหลายที่ๆ maps.me ไม่มีหาได้ก็ copy ลงใน maps.me แล้วนำทางต่อ , Waze เหมาะมากสำหรับดู real-time เช่นหาที่จอดรถจุดไหนมี space ดู traffic ว่ารถติดไหมมีซ่อมถนนไหม เป็นต้น ) ศึกษาการใช้แอปให้คล่องก่อนใช้จริงนะครับไม่งั้นวุ่นแน่ๆ


มีโทรศัพท์นำทางอย่าลืมพก phone holder กับรถมาด้วย สำคัญมากหาชนิดที่ไม่วุ่นวายสามารถดัดแปลงได้ง่ายๆ ( รถแต่ละชนิดอาจจะยึดไม่เหมือนกัน ) หามาสักสองอันเผื่ออันแรกใช้ไม่ได้ และแน่นอน ต้องมี charger ติดรถด้วย


แว่นกันแดดสำคัญมาก ในยุโรปแดดแยงตามากยิ่งช่วงเย็นและเช้า ที่บังแดดของรถเอาไม่อยู่


ถ้ามีสัมภาระมากและใหญ่หากระเป๋าเล็กๆมาแยกสิ่งจำเป็นที่ต้องใช้ในการพักแต่ละคืน ไม่สนุกแน่ๆถ้าต้องแบกกระเป๋าใบใหญ่ๆขึ้นลงรถทุกวัน


ก่อนออกรถต้องเตรียมข้อมูลว่าถ้ารถมีปัญหาจะติดต่อยังไงในแต่ละประเทศ สำหรับฉุกเฉิน ในยุโรปใช้เบอร์เดียวคือ 112 อย่าลืมถ้ามีอุบัติเหตุทุกครั้งแม้แต่ขับรถชนกำแพงคุณต้องขอ Report กับตำรวจภายใน 24 ชม ไม่งั้นประกันที่ซื้อไว้ไม่ครอบคลุมนะครับ


นอกจาก 112 ต้องขอเบอร์กรณีรถมีปัญหากลางทางว่าต้องติดต่อยังไง เบอร์ฉุกเฉิน ( 24 ชม ) ของบริษัทรถเช่าทั้งที่ต้นทางและปลายทางที่จะคืนรถ เงื่อนไขประกันเช็คให้ดีว่าครอบคลุมถึงไหน ( บริษัทรถเช่าจะมีรายละเอียดให้อ่านตอนจองรถ ) ดูว่าจะต้องซื้ออะไรเพิ่ม เข่น child seat , ขับไปประเทศที่นอกเหนือสัญญา roadside assistance หรือ windshield and tyre protection ( ถ้าถูกทุบกระจกจะมีประโยชน์มาก ) เป็นต้น


โทรศัพท์จำเป็นสุดๆ ต้องโทรได้ทุกประเทศในยุโรปที่จะไป (จริงๆใช้โทรศัพท์ในประเทศไหนไปที่ไหนในอียูก็ฟรีโรมมิ่งอยู่แล้ว ไม่จำเป็นต้องหาซิมใหม่ )


การวางแผนผมใช้วิธีวางแผนผ่าน แอปนำทางทุกครั้ง mark จุดที่จะไปคำนวณระยะเวลา ค่าใช้จ่ายที่ต้องจ่าย อย่าลืมนะครับทุกจุดที่จะไปแม้แต่ที่พักต้อง mark ไปที่ parking จองที่พักแต่ที่จอดรถไม่มีนี่เรื่องใหญ่แน่ๆ หรือจอดรถข้างล่างแต่เดินขึ้นบันไดขึ้นเขาไปพักข้างบนนี่ก็คงต้องดูกำลังตัวเองด้วย หลายๆที่ในสวิส แม้แต่ใน park เงียบๆ จอดรถต้องเสียตังตลอด เนื่องจากเรามีรถสามารถขับออกนอกเส้นทางได้อยู่แล้ว อย่าลืมหาจุดแวะจุดชมวิว ( maps.me จะมีบอกให้ ) แม้แต่จุดแวะริมทางกำหนดไว้เลย ( หลายจุดต้องขับออกนอก toll ก็ขับออกมาแล้ววกไปใหม่ จริงๆถ้าอยากขับรถเที่ยวไม่แนะนำขับบน Toll เพราะแทบไม่เห็นอะไรเลย วิวสวยๆก็ต้องเข้าอุโมงค์ ถ้าขับได้มีเวลาเหลือให้ออกนอก toll ไปเลย )


การเช่ารถขับในยุโรปอย่าลืมเข้าเมืองเที่ยวด้วย แต่ไม่แนะนำให้พักในเมือง นอกจากหาที่จอดรถยากยังแพงอีก การขับรถเข้ามาเที่ยวในเมืองที่ไม่ใช่หมู่บ้าน แนะนำอย่างยิ่งให้มาเช้าๆ ตอนที่คนยังน้อย เพราะแน่นอนหาที่จอดรถไม่ยาก ( ปัญหาใหญ่คือที่จอดรถนี่แหละ ) พยายามหาที่จอดรถใกล้แหล่งท่องเที่ยวให้มากยิ่งจุดไหนดังๆต้องกำหนดไปแห่งแรกเลยครับ จอดเสร็จลงเดินแป๊บเดียว แล้วค่อยไปจุดจอดที่ไกลๆออกไป


ก่อนจะมาหาจุดจอดรถในแอป กำหนดให้เรียบร้อยแล้วขับรถมาจอดเลย เกือบทุกที่ในเมืองในยุโรปจอดรถเสียตังหมด ( โบสถ์บางแห่ง supermarket บางแห่งอาจจะฟรี เช็คกับ Waze ดู ) แต่ถึงแม้จะเสียตังก็คุ้มครับกับการที่ต้องจอดฟรีแล้วเดินเป็นกิโลๆเข้ามา ( ในอิตาลีบางเมืองใหญ่จอดรถดูที่จอดดีๆ ถ้าจอดแล้วมองเข้าในรถต้องไม่มีอะไรทั้งสิ้น แม้แต่ถุงใส่แมคโดนัล พยายามหาที่จอดรถในตึกหรือมีกล้องวงจรปิด ไม่งั้นกลับมากระจกอาจจแตก )
เมื่อต้องเสียค่าจอดรถอย่าพยายามหลีกเลี่ยงครับถึงแม้จอดแล้วจะนั่งเฝ้ารถไว้ เห็นมาแล้วติด Ticket ต่อหน้าคนเฝ้าเลย ค่าปรับบางเมืองโหดมาก และแน่นอนจุดไหนช่องไหนห้ามจอดดูให้ดีๆอย่าไปลักไก่ ( ช่องคนพิการ ช่องตรงที่มีปั๊มจ่ายน้ำดับเพลิงหรือตู้ไฟฟ้าโทรศัพท์ ช่องจอดของเอกชน ) นอกจากโดนค่าปรับแล้ว อาจจะโดนลากไปด้วย เสียเงินมากมาย เวลาจอดก็จอดภายในเส้นอย่าทับเด็ดขาด ถ้าริมทางเดินจอดให้ชิดที่สุด ( ตามกฏจราจรว่าต้องไม่น้อยกว่ากี่นิ้ว )


การจ่ายค่าจอดรถมีหลายวิธีแล้วแต่เมืองหรือสถานที่

ถ้าขับแล้วต้องผ่าน barrier เช่นตามตึกหรือสนามบิน กดตู้รับบัตร หาที่จอด เช็คให้ดีก่อนออกไปว่าจะต้องไปจ่ายเงินที่ไหน กลับมาไปที่ตู้กดเสียบบัตรจ่ายตังแล้วไปขับรถออกไปเสียบบัตรหรืออะไรที่ทดแทนตอนออกอีกที แบบนี้ง่ายสุดๆ


คำเตือนตามป้ายต่างๆในเมืองเกือบทุกที่เป็นภาษาท้องถิ่น ถ่ายรูปเข้าแอปแปลภาษามันจะแปลออกมาตามรูปเลย


ถ้าที่จอดเป็นตู้จ่ายเงิน แบบนี้มีหลายวิธีแล้วแต่ชนิดตู้ คนไทยไม่ค่อยคุ้นเคย แต่พวกนี้เป็นมาตรฐานเดียวกันเกือบทุกๆประเทศ ลองใช้ดู


บางตู้ให้กดทะเบียนรถจ่ายตัง ( ส่วนมากเป็นเหรียญหรือบัตรต่างๆ ) ปรับลดเพิ่มเวลาในตู้ จอจะแสดงตัวเงินตามเวลา สอดบัตรหยอดเหรียญจ่ายตังเป็นจบ ( ถ้ามีคนมาตรวจสอบเขาจะดูจากแอปเขาที่เชื่อมกับตู้ว่าทะเบียนเลจนี้จอดได้ถึงเวลาอะไร บางทีมีกล้องดูอย่าชะล่าใจเด็ดขาด ) พวกตู้แบบนี้จะมี QR code ตรงตู้เลย สแกนโค๊ดจ่าย online ได้ด้วย สะดวกมากกรณีต้องการต่อเวลาออกไปอีกโดยไม่ต้องเดินกลับมา บางตู้ไม่ให้ใส่ทะเบียนรถแต่ให้ใส่หมายเลขตำแหน่งที่รถจอด ( จะมีตัวเลขชัดเจน )


ตู้สมัยโบราณ จะให้คีย์แค่เวลาที่ต้องการจะจอด แล้วจ่ายตัง แล้วตู้จะพิมพ์ใบเสร็จบอกเวลาสิ้นสุดมาให้ เอาใบนี้ไปวางไว้ที่ console หน้ารถให้คนที่เดินมาเช็คเห็นชัดเจน ควรเผื่อเวลาด้วย เช่นคิดว่าจอด ชมนึง ก็จ่ายเพิ่มอีกสักครึ่ง ชม เพราะไม่ต้องรีบกระหืดกระหอบมาต่อเวลาอีก ตู้แบบนี้บางประเทศมันอยู่ติดที่จอดรถเลยจอดที่นึงมีตู้นึงตามช่องที่จอดแล้วเวลาจะขึ้นบนตู้ แบบนี้ไม่ต้องใช้ใบเสร็จมาติดหน้ารถ


ตู้หลายๆเมืองโดยเฉพาะในอิตาลี บางตู้ใช้ไม่ได้ เช่นไม่รับบัตรมั่ง เหรียญหยอดไม่ลง ไม่ต้องตกใจ เดินหาตู้ข้างๆมันต้องมีสักแห่งที่ใช้ได้มั้งละ


ถ้าอยากตื่นเต้นกับการขับรถลองมาขับที่อิตาลีดู โดยเฉพาะตามแหล่งท่องเที่ยวดังๆ แต่ถ้าอยากรู้ว่าฝีมือเราระดับไหนมาขับในเมือง Porto Portugal เลยปราบเซียนจริงๆ


เช่ารถขับไม่ยากและไม่วุ่นวายเลย ถ้ารู้จักขับรถตามกฏจราจร รู้วิธีเช่ารถ ตลอดจนวิธีการใช้รถ แต่จะเป็นทางเลือกที่เที่ยวได้ง่าย ไปได้เกือบทุกที่ที่อยากไป ( ไม่เหมือนใช้รถสาธารณะ ) และยิ่งมาหลายคน ค่าใช้จ่ายถึงแม้รวมเรื่องรถแล้ว อาจจะน้อยกว่าเดินทางเองด้วยซ้ำ แถมได้เที่ยวมากกว่า ไปได้ทุกหมู่บ้านทุกจุดชมวิว เข้าเมืองใหญ่เดินสบายๆ แบกของมาได้เยอะแยะ ได้ที่พักในแบบที่ต้องการ เป็นต้น


อีกวิธีนึงในการเดินทางท่องเที่ยว ไม่จำเป็นต้องยุโรปเท่านั้น สามารถใช้ได้กับทุกที่ ( แต่ระบบต้องรองรับด้วย ) โดยเฉพาะในประเทศใหญ่ๆเช่น อเมริกา แคนาดา ออสเตรเลีย


เกือบลืมไปเรื่องนึง ถ้าจะขับรถแน่นอนต้องเติมน้ำมัน แต่ถ้าอยากเช่า ev car หลายที่ตามเมืองใหญ่มี electric charger บริการแล้ว ( หาดูจาก Waze หรือ MAPS.ME )


แนะนำใช้เบนซินเท่านั้นเติมง่ายหาไม่ยากถูกกว่าดีเซลเยอะ ต้องฝึกเติมเองให้เป็นนะครับ ไม่มีคนมาบริการ แม้แต่เช็คกระจก เติมลมยาง หรือล้างรถด้วยเครื่อง ที่นี่ทำเองหมด
ปัญหาใหญ่ของการเติมน้ำมันคือการจ่ายเงิน


เปิดฝาแท๊งน้ำมันในรถ ยกสายเติมออกมาต้องดูทุกครั้งว่าตัวเลขบนจอต้องรีเซทแล้วเป็น 0 อย่าหยิบสายน้ำมันผิดชนิดละเรื่องยาวแน่ๆ ก่อนเติมให้อ่านวิธีตรงปั๋มที่เราจะใช้ว่าจ่ายเงินยังไง เช่นเสียบบัตรเครดิต( ต้องเครดิตเท่านั้นเครื่องจะกันวงเงินจำนวนหนึ่งไว้พวกบัตรเดบิตจะกันไม่ได้ เมื่อเติมเสร็จจะออกใบเสร็จแจ้งจำนวนเงินที่แท้จริง พอเข้าไปเช็คใน statemen ของบัตรจะโชว์แค่ตัวเลขที่ถูกกันไว้ เมื่อถึงรอบบัญชี ตัวเลขจะถูกรีฟันด์กลับมาเท่ากับจำนวนเงินที่เติมจริงอย่าตกใจ แต่ถ้าวงเงินบัตรเหลือน้อย เมื่อต้องถูกกันวงเงินหลายๆครั้งบางทีอาจตะไม่พอนะ ) แต่ถ้าอยากจ่ายเงินสดหรือตัดบัตรพวก travel card ก็ต้องหาสถานีที่มีแคชเชียร์บริการ ( ส่วนใหญ่หายากเขาจะไม่ยุ่งกับน้ำมันเลยไม่เหมือนในหลายประเทศบอกเบอร์ปั๊มที่จะเติมจำนวนเงินที่จะเติมหรือเต็มถัง เขาจะรีเซทปั๊มให้แล้วตั้งค่าตามที่เราต้องการ ) เสียบสายเข้ากับรถบีบหัวจ่ายน้ำมันก็จะไหลเข้าไปอยากหยุดตรงไหนก็ปล่อย ถ้าอยากเติมเต็มก็บีบจนกว่าหัวบีบจะตัด ( ยุโรปแทบจะไม่มีตัวล๊อคอัตโนมัติคือต้องยืนบีบเองจนเสร็จ )

Cr.Tony Thinnakorn Poonvasin